วันนี้ (19 สิงหาคม) ภายหลังศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 กรณีเมื่อปี 2558 ทักษิณให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีใต้โดยมีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน
วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของทักษิณ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้มีการสอบคำให้การของจำเลย โดยทักษิณให้การปฏิเสธพร้อมกับนำเสนอพยานหลักฐาน ประกอบไปด้วยพยานบุคคลฝ่ายจำเลยจำนวน 14 ปาก และพยานเอกสารอื่นๆ ซึ่งจะนำเสนอในชั้นพิจารณาคดีต่อไป
ส่วนฝ่ายโจทก์มีพยานทั้งสิ้น 10 ปาก เชื่อว่ามีการสอบสวนไปแล้ว และฝ่ายโจทก์ไม่ได้อ้างพยานเพิ่มเติม เนื่องจากอาจเห็นว่าเป็นพยานที่ไม่มีประโยชน์ หรืออาจเป็นพยานที่ไม่สามารถพิสูจน์ความผิดของฝั่งจำเลยได้
นอกจากนี้ ยังมีพยานผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ตามคลิปที่ปรากฏในระบบคอมพิวเตอร์
วิญญัติกล่าวยืนยันว่า คลิปที่เป็นประเด็นจนนำมาสู่การกล่าวหาเป็นการรวบรวมจากระบบอินเทอร์เน็ตลงในแผ่นซีดี ไม่ใช่หลักฐานจากสถานที่เกิดเหตุจริง เจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบคลิปที่เป็นประเด็นยืนยันว่าคลิปดังกล่าวไม่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ถึงความเป็นต้นฉบับ การตัดต่อ และการแปลความเป็นภาษาไทยไม่สมบูรณ์
ในเรื่องนี้มีภาษาอังกฤษเพียงคำเดียวที่เป็นปัญหา และนำไปสู่การกล่าวหาทักษิณ ซึ่งสอดคล้องกับที่ตนเคยแถลงก่อนหน้านี้ว่า หลักฐานของฝ่ายโจทก์เป็นเพียงการรวบรวมคลิป
ประเด็นเรื่องคลิปที่ไม่ได้มาจากต้นฉบับจะนำมาเป็นข้อต่อสู้ของจำเลยได้อย่างไรนั้น ตนเองยังไม่สามารถลงรายละเอียดในเวลานี้ได้ หลังจากนี้จะเป็นการพิสูจน์ความจริงต่อศาล ขึ้นอยู่กับว่าศาลจะรับฟังพยานหลักฐานและมีคำวินิจฉัยอย่างไร
อย่างไรก็ตามมองว่าเรื่องนี้ทักษิณถูกกระทำจากระบบการกล่าวหา ซึ่งตนเองมองว่าระบบการกล่าวหาของประเทศไทยยังมีปัญหา หากมีโอกาสก็ควรมีการแก้ไข
วิญญัติกล่าวว่า การสืบพยานหลังจากนี้มีทั้งหมด 7 นัด โดยฝ่ายโจทก์นัดในวันที่ 1, 2 และ 3 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายจำเลยจะสืบพยานในวันที่ 15, 16, 22 และ 23 กรกฎาคม 2568 หลังจากนั้นจะเป็นการจัดทำคำพิพากษาของศาลต่อไป ซึ่งหลังการนัดสืบพยานในปีหน้านั้นเนื่องจากศาลอาญาเป็นศาลใหญ่ มีคดีจำนวนมาก ต้องนัดสืบพยานไปตามลำดับของคดี ส่วนจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่นั้น ตนเองไม่มีความเห็น
เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายจำเลยจะขอยื่นสืบพยานลับหลัง วิญญัติกล่าวว่า ได้รับการยืนยันจากทักษิณว่าท่านพร้อมที่จะมาสืบพยานด้วยตนเองทุกนัด เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยตัวเอง และพิสูจน์ว่าที่ผ่านมาไม่มีเจตนาที่จะก้าวล่วงสถาบัน และพร้อมที่จะแสดงความจงรักภักดีเพื่อให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งประชาชนคนไทยเห็นได้อยู่แล้ว แต่ทั้งนี้หากศาลอนุญาตให้มีการสืบพยานลับหลัง ท่านอาจไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง
ส่วนทักษิณจะมีกำหนดการเดินทางไปต่างประเทศอีกหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา และในการต่อสู้คดีนี้ ทักษิณมีความมั่นใจ ไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ
กรณีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ยื่นให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลตำรวจ กรณีที่เอื้อประโยชน์ให้ทักษิณในการรักษาตัวที่ชั้น 14 วิญญัติกล่าวว่า ทักษิณไม่ได้กังวล ซึ่งตนเองขอยืนยันว่าทักษิณป่วยจริง และตนก็เป็นทนายเพียงคนเดียวที่ไปเยี่ยมทักษิณ และตัวทักษิณก็อยู่ชั้น 14 จริง
เมื่อถามว่าหาก ป.ป.ช. เรียกทักษิณไปให้ปากคำ เจ้าตัวจะพร้อมเข้าไปให้ข้อมูลหรือไม่ วิญญัติระบุว่า อยู่ที่ว่าทักษิณเกี่ยวอะไร เพราะท่านไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่ก็ขึ้นอยู่กับ ป.ป.ช. จะพิจารณาว่าคดีมีมูลหรือไม่มีมูล และจะไต่สวนทักษิณหรือไม่ แต่หากมีการไต่สวนทักษิณก็ยินดี เพราะท่านกลับเข้ามาในประเทศ ท่านบอกว่าพร้อมที่จะปฏิบัติตามกติกาของสังคม โดยเฉพาะกฎหมาย ไม่เช่นนั้นคงไม่เข้าสู่กระบวนการ ส่วนกระบวนการจะเป็นอย่างไรนั้น ก็เป็นเรื่องในหลายๆ ส่วนที่เกี่ยวข้อง