วันนี้ (9 เมษายน) ที่หอประชุมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตดินแดง กรุงเทพฯ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) รุ่นที่ 1 และกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ‘บทบาทของผู้นำในอนาคตในการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ’
โดยมีบุคคลที่มีชื่อเสียงร่วมหลักสูตรดังกล่าว เช่น แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, ธนนนท์ นิรามิษ ภรรยาอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
นายกฯ กล่าวปาฐกถาช่วงหนึ่งว่า วปอ. ชื่อหลักสูตรบอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นหลักสูตรที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ในอนาคต รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 1 ซึ่งเข้าใจว่ามีหลายคนอยากมาเรียนกันจำนวนมาก เนื่องจากเป็นคอร์สที่มีความต้องการสูง เชื่อว่าทุกท่านได้รับการคัดเลือกมาด้วยความเหมาะสม มาแล้วก็อย่าขาดเรียน เข้ามาก็ยาก
นายกฯ กล่าวว่า หลักสูตรสถาบันนี้ให้ความรู้แน่นอน ซึ่งนอกจากความรู้แล้ว เรื่องของคอนเน็กชันตนเชื่อว่าหลายๆ ท่านมาในที่นี้เพราะเหตุผลนี้ ถามว่าผิดหรือไม่ ไม่ผิด แต่คอนเน็กชันต่างๆ เหล่านี้ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและผู้อื่น โดยไม่ไปเบียดเบียนหรือไปทำให้เกิดความไม่เหมาะสม ซึ่งเคยพูดไปหลายครั้งแล้ว
อย่างไรก็ตาม สังคมของเราในช่วงนี้มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด คนรวยรวยขึ้น คนจนจนลง จึงต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาที่สุด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่บั่นทอนความมั่นคงของประเทศพอสมควร
นายกฯ กล่าวอีกว่า พวกเราทุกคนที่อยู่ในที่นี้เชื่อว่าเป็นอนาคตของชาติ และจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองต่อไป เพราะฉะนั้นต้องมีความพยายามในการลดความเหลื่อมล้ำลงมา ตนถือว่าเป็นหน้าที่ของทุกคน วันนี้ตำแหน่งหน้าที่การงานอาจจะไม่ใหญ่โต แต่การประพฤติตัวตรงนี้ก็จะเป็นที่จับตามองของสาธารณชน
นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้หากพูดถึงเรื่องความมั่นคง สถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศเมียนมาเป็นประเด็นที่ร้อนแรง ในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา ประเทศไทยเรายืนยันว่ามีจุดยืนที่เป็นกลาง เราช่วยเหลือมนุษยชนและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เราไม่ก้าวก่ายในกิจการภายในของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม พวกท่านอาจจะเรียนภูมิศาสตร์มาแล้ว และเห็นว่าชายแดนของเราติดกับเมียนมาประมาณ 2,000 กิโลเมตร เพราะฉะนั้นถือเป็นพื้นที่ที่ติดกันจำนวนมาก การเข้า-ออกได้ทุกทางสามารถเปลี่ยนไปได้อย่างง่ายดาย
“ประเทศที่จะมีส่วนได้ส่วนเสียกับเมียนมาและสามารถพัฒนาได้ประโยชน์สูงสุดก็คือประเทศไทย แต่ในทางกลับกัน หากเขาอยู่ไม่ได้ เราก็จะเดือดร้อน ซึ่งจุดยืนของเราชัดเจนตามนโยบายที่ทางอาเซียนให้เรามา” นายกฯ กล่าว
นายกฯ ยังกล่าวถึงจุดยืนของนโยบายการเกณฑ์ทหารด้วยว่า ขณะนี้เป็นช่วงการเกณฑ์ทหาร นโยบายที่ชัดเจนของเราคือให้เป็นความสมัครใจ จะต้องค่อยๆ ทำด้วยการเปลี่ยนผ่าน เพราะสังคมไทยไม่ชอบอะไรที่เป็นอย่างนี้
โดยระหว่างกล่าว นายกฯ ทำท่าพลิกฝ่ามือพร้อมกับกล่าวต่อว่า “ลำบากครับ”
นายกฯ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าสถาบันทหารเองก็ต้องการบุคลากรที่มีคุณภาพที่ต้องเข้าไปอยู่ในองค์กร ทำให้สถาบันทหารแข็งแกร่งขึ้น แต่แน่นอนว่าจิตวิญญาณคนสมัยใหม่ต้องการทางเลือก ก็ต้องมาด้วยกฎระเบียบที่ต้องค่อยๆ ผ่อนคลายกันไป วันนี้ก็เริ่มเห็นผลแล้ว
นายกฯ กล่าวอีกว่า หลังจากที่พวกท่านจบคอร์สในเดือนกันยายนนี้แล้วจะมีการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ขอให้ช่วยอย่างจริงจัง ใครมีเส้นสายในแง่ของช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าให้กับเกษตรกรในพื้นที่ก็อยากให้ลงมาช่วยพิจารณาช่วยเหลือกัน ใช้เครือข่ายที่ตัวเองมีอยู่ เชื่อว่าสังคมไทยจะมั่นคงยิ่งขึ้น มีฐานรากของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และระยะเวลาการอบรม 6 เดือนนี้ จะเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้น และมีส่วนพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต