การยกระดับต่อต้านแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการก่ออาชญากรรมข้ามชาติในกัมพูชา ที่นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ประกาศออกมา โดยกำหนดมาตรการอันเข้มข้น ทั้ง ปิดด่าน-ห้ามเดินทาง-ตัดน้ำ-ตัดไฟ-ตัดเน็ต-ตรวจสอบบัญชีม้า รวมถึงประสานความร่วมมือกับนานาประเทศ และตั้งเป้าเห็นผลภายใน 3 เดือน ถูกจับตามองอย่างมากถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ท่ามกลางคำถามใหญ่คือ มาตรการเหล่านี้จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหา ที่สร้างความเดือดร้อนมหาศาลแก่คนไทยและประชาชนในหลายภูมิภาคทั่วโลก ได้จริงหรือไม่?
มาตรการกดดันและสกัดกั้นเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ฝังรากอยู่ในปอยเปตและหลายเมืองของกัมพูชา เกิดขึ้นท่ามกลางข้อพิพาทเขตแดน ที่กำลังเป็นชนวนขัดแย้งและจุดกระแสชาตินิยมอันดุเดือดในทั้งสองประเทศ
ในการแถลงเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน แพทองธาร อ้างอิงข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ระบุว่า กัมพูชาเป็นศูนย์รวมอาชญากรรมระดับโลกและเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 600,000 ล้านบาท และชี้ว่า 40-60% ของ GDP กัมพูชานั้นมาจากเครือข่ายหลอกลวงข้ามชาติ ซึ่งรัฐบาลต้องพยายามรักษาความปลอดภัยของประชาชนไทย
อย่างไรก็ตาม หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ท้ายที่สุดแล้วมาตรการเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพ ช่วยแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาได้จริง หรือเป็นเพียงแค่เครื่องมือในการ ‘กลบ’ ภาพลักษณ์อันย่ำแย่ของนายกรัฐมนตรี จากประเด็นคลิปเสียงสนทนาระหว่างเธอและ ‘คุณลุง’ หรือสมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เป็น ‘มิตรสหายเก่าแก่’ ของครอบครัวชินวัตร
ปราบแก๊งคอลฯ กดดันชนชั้นนำกัมพูชา
รศ. ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า มาตรการต่างๆ ที่นายกรัฐมนตรีประกาศออกมา เป็นปัจจัยสำคัญในการวางยุทธศาสตร์กดดันกัมพูชา เพราะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ เป็นที่ทราบกันดีว่า ส่วนใหญ่อยู่ในฝั่งกัมพูชา บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งมีความเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นของกลุ่มจีนเทาและอาชญากรข้ามชาติ
เขามองว่า กิจกรรมเหล่านี้พึ่งพาน้ำ ไฟ สัญญาณอินเทอร์เน็ต และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จากฝั่งไทย ดังนั้น การปิดด่านหรือการตัดปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนกิจกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ จึงส่งผลดีในการกดดันกัมพูชา และในขณะเดียวกัน ยังเป็นการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติไปในตัวด้วย
อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่เมืองชายแดนอย่างปอยเปต มีโครงสร้างบ่อนการพนัน และมีการลงทุนของชนชั้นนำทางธุรกิจในกัมพูชา ซึ่งน่าจะมีความเชื่อมโยงกับฝ่ายปกครองหรือชนชั้นนำทางการเมืองของกัมพูชาอยู่แล้ว ซึ่งการดำเนินมาตรการของรัฐบาล ด้วยการตัดท่อน้ำเลี้ยงต่างๆ ก็น่าจะส่งผลกระทบไปถึงฐานอำนาจทางธุรกิจของกลุ่มชนชั้นนำในกัมพูชาด้วยเช่นกัน
กัมพูชาปฏิเสธ ไม่ใช่ศูนย์กลางหลอกลวงระดับโลก
รายงานเรื่อง Policies and Patterns: State-Abetted Transnational Crime in Cambodia as a Global Security Threat ที่เขียนโดย Jacob Sims นักวิจัยจากศูนย์เอเชียของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อ้างอิงการประมาณการในปี 2023 จากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ซึ่งระบุว่าในปี 2023 กัมพูชามีรายได้จากขบวนการหลอกลวงข้ามชาติอยู่ที่ 12,500 ล้านดอลลาร์
และในปีถัดมา USAID ซึ่งเป็นหน่วยงานช่วยเหลือต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่ากัมพูชามีรายได้จากกิจกรรมผิดกฎหมายเหล่านี้อยู่ที่ 19,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับ 60% ของ GDP อย่างเป็นทางการของกัมพูชา ขณะที่มีแรงงานราว 100,000-150,000 คน ที่เกี่ยวข้องในขบวนการหลอกลวงข้ามชาติ ทั้งที่เต็มใจหรือเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์หรือบังคับใช้แรงงาน
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาในการเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายหลอกลวงระดับโลก โดยเพน โบนา โฆษกรัฐบาล แถลงชี้แจง ว่ากัมพูชาเองก็ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ เช่นเดียวกับไทย ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลกัมพูชาและนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ก็มีความพยายามที่จะปราบปราม และได้จัดตั้งคณะกรรมการประสานงานและดำเนินมาตรการปราบปรามต่างๆ
โฆษกรัฐบาลกัมพูชา ยังชี้ว่า มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าอาชญากรรมข้ามชาติดังกล่าวเกิดขึ้นในประเทศไทย เช่น การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ที่รัฐบาลไทยเพิ่งดำเนินการไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ขณะที่สื่อท้องถิ่นกัมพูชา เช่น Khmer Times ได้เผยแพร่บทความแสดงความคิดเห็น ตอบโต้ข้อกล่าวหาของแพทองธาร และแสดงความมั่นใจว่า UN ไม่เคยรายงานข้อมูลที่ระบุว่า 40% ของ GDP กัมพูชานั้นมาจากเครือข่ายหลอกลวงข้ามชาติ ขณะที่ยืนยันว่าเศรษฐกิจกัมพูชา ขับเคลื่อนโดยภาคส่วนต่างๆ เช่น การผลิต การเกษตร การก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยว และบริการเป็นหลัก
ทางด้าน รศ. ดร.ดุลยภาค ให้ความเห็นว่า การบ่งชี้ว่าขบวนการหลอกลวงและก่ออาชญากรรมข้ามชาติดำเนินการอยู่ที่ไหน หลักๆ ก็ดูจากที่ตั้งว่าอยู่ภายใต้อธิปไตยของชาติใด ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ นั้นอยู่ในฝั่งกัมพูชาทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนั้น อาจจะมีทั้งประชาชนและนักการเมืองชาวกัมพูชา ชาวไทย จีนเทา และชาวต่างชาติอื่นๆ
“เหมือนกับเราปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา เราก็ไม่สามารถจะไปแทรกแซงอธิปไตยของเมียนมาได้ แต่ว่ากองกำลังในฝั่งเมียนมาก็จะบอกว่ามีนักธุรกิจไทย มีข้าราชการไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน แต่สิ่งสำคัญคือสุดท้าย ที่ตั้งของขบวนการเหล่านี้ก็อยู่ในฝั่งเมียนมา”
ปราบแก๊งคอลฯ กดดันกัมพูชา
การกำหนดมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว มีขึ้นในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา เดินมาถึงจุดที่ตกต่ำลงอีกครั้ง จากปัญหาหลักคือข้อพิพาทเขตแดน
ต่อคำถามที่ว่ามาตรการของรัฐบาลที่ออกมา จะยิ่งเติมเชื้อไฟความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาให้เลวร้ายลงหรือไม่นั้น รศ. ดร.ดุลยภาค มองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นมาตรการตอบโต้ของฝ่ายไทย เหมือนกับที่กัมพูชาก็โจมตีประเทศไทยในหลายมิติ มีการทำสงครามข้อมูลข่าวสาร การยั่วยุ ทั้งในเรื่องของด่านชายแดน หรือในเรื่องของการวางกำลังทหาร หรืออื่นๆ
ขณะที่เขามองว่า มาตรการของไทยในการปราบปรามขบวนการหลอกลวงและอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นการจัดการความมั่นคงรูปแบบใหม่ ซึ่งอาจทำให้ปัญหาความมั่นคงรูปแบบเก่าคือเรื่องข้อพิพาทเขตแดนนั้นคลี่คลายลงก็เป็นไปได้
“จริงๆ แล้ว เรื่องของการที่ไทยยกระดับเป็นศูนย์กลางปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มันเป็นการทำให้เราเป็นศูนย์กลางในการจัดการกับภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่ และตรงนี้ ยังเป็นการกดดันกัมพูชาในอีกด้านหนึ่ง เนื่องจากเม็ดเงินของกิจกรรมผิดกฎหมายเหล่านี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มชนชั้นนำในกัมพูชาด้วย การที่ไทยตัดท่อน้ำเลี้ยงตรงนี้ เพื่อจะทำให้เกิดการกดดันกัมพูชา และอาจทำให้การจัดการปัญหาความมั่นคงรูปแบบเก่า คือเรื่องเส้นเขตแดนกับการเผชิญหน้าทางทหารอาจจะคลายลงไปก็เป็นไปได้ คือเราสามารถใช้การจัดการความมั่นคงทั้งแบบเก่าและใหม่ ในการแก้ไขปัญหาและกดดันกัมพูชาไปพร้อมๆ กัน” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตข้อพิพาทของทั้งสองประเทศบรรเทาเบาบางลง รศ. ดร.ดุลยภาค มองว่ายังมีความเป็นไปได้ที่ไทยและกัมพูชาจะร่วมมือกันปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ เนื่องจากมีการวางกรอบความสัมพันธ์ทวิภาคีที่สามารถคุยกันเรื่องนี้ ทั้งในกรอบของอาเซียน, GMS (โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง) หรือ CLMV
“ณ วันนี้ มันเป็นเรื่องของความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดน เรื่องสงครามจิตวิทยา การชิงไหวชิงพริบกัน และมีการวางกำลัง การเผชิญหน้าทางการทหาร ดังนั้นการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็ต้องดูบริบทในมิติอื่นๆ ประกอบด้วย เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะถักทอออกมาเป็นโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาในภาพใหญ่”
อ้างอิง:
- https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/un-agency-map-reveals-cambodia-as-global-scammer-hub?fbclid=IwY2xjawLJXylleHRuA2FlbQIxMQBicmlkETFtbk5UOXViSVlUZmpGcGEyAR7DZI_9jImL3eownk0VS6nDJNc1IBvdXSFb1BDE3kruP8heVmgZIRZB-q8O5Q_aem_efIjgpUlz6sID1rIFRwNWw
- https://asia.nikkei.com/Spotlight/Society/Crime/Cambodia-strongly-rebuts-report-on-growing-cybercrime-sector
- https://cdn.prod.website-files.com/662f5d242a3e7860ebcfde4f/68264cff356caba111f2db1e_Policies%20and%20Patterns_16052025.pdf
- https://www.phnompenhpost.com/national/government-spokesperson-highlights-irrational-claims-by-thai-leader
- https://thestandard.co/un-urges-action-against-crime-hubs-in-cambodia/