กรมศุลกากรเผย สหรัฐฯ ยื่นข้อเสนอกำหนดสัดส่วน Local Content ที่ 50% แต่ไทยขอไปที่ 40% เชื่อสหรัฐฯ เคาะสัดส่วนเท่ากันทุกประเทศ คาดไทยลดภาษีให้สหรัฐฯ เหลือ 0% หรือใกล้เคียง จ่อฉุดรายได้ปีงบประมาณ 2569 หายไปราว 8,000 ล้านบาท พร้อมเพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบสินค้าสวมสิทธิ์
วันนี้ (28 สิงหาคม) ยุทธนา พูลพิพัฒน์ รองอธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรมีบทบาทในการจัดทำร่างประกาศกระทรวงที่จะ ปรับลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าให้สหรัฐฯ ราว 1 หมื่นรายการ โดยคาดว่า ไทยจะสามารถปรับเริ่มลดภาษีให้สหรัฐฯ ได้ไม่เกินสิ้นปีนี้
“ขณะนี้ กรมศุลกากรอยู่ในระหว่างการจัดทำร่างประกาศกระทรวง รวมถึงการทำระบบอิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ เพื่อจะสามารถกำหนดอัตราภาษีศุลกากรใหม่ให้แก่สหรัฐฯ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สะดวกในการปฏิบัติงานต่อไป” ยุทธนา กล่าว
พร้อมเปิดเผยว่า เนื่องจาก ร่างประกาศกระทรวงนี้จะแล้วเสร็จในช่วงสิ้นปีปฏิทินนี้ ดังนั้น การปรับลดอัตราภาษีให้สหรัฐฯ รอบนี้ จึงไม่น่ากระทบการจัดเก็บรายได้ของกรมศุลกากรในปีงบประมาณ 2568 (ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2568) แต่จะเริ่มไปกระทบการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2569
โดยเบื้องต้นประเมินว่า การปรับลดอัตราภาษีนำเข้าให้สหรัฐฯ เหลือ 0% หรือใกล้เคียงราว 1 หมื่นรายการนี้ จะทำให้รายได้จากภาษีศุลกากรหายไปประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี จากปกติที่ไทยสามารถจัดเก็บภาษีส่วนนี้จากสหรัฐฯ ได้ราว 20,000 ล้านบาทต่อปี
ยุทธนา กล่าวเพิ่มเติมว่า ร่างประกาศกระทรวง คาดว่าจะใช้เวลาทำ 90 วัน โดยกระบวนการผ่านร่างกฎหมายนี้จำเป็นต้องเข้าสภาผู้แทนราษฎรด้วย โดยหากสภาฯ ผ่านช้าก็กฎหมายฉบับนี้ก็อาจมีผลดีเลย์ออกไปได้อีก
รองอธิบดีกรมศุลกากร ยังเปิดเผยความคืบหน้า เกี่ยวกับการเจรจาการกำหนดเกณฑ์สัดส่วนมูลค่าการผลิตภายในภูมิภาค (Regional Value Content: RVC) ว่า สหรัฐฯ ต้องการกำหนดสัดส่วนดังกล่าที่ 50% ขณะที่ไทยเสนอไปที่ 40% ซึ่งเป็นอัตราเดิม โดยความคืบหน้าปัจจุบัน อยู่ระหว่างเจรจาข้อตกลงกัน แต่คาดว่าจะสรุปที่ 50% ดังนั้น หลังจากนี้ผู้ประกอบการก็ต้องปรับกระบวนการผลิตให้ใช้ Local Content มากขึ้น ซึ่งเรามองว่าการใช้วัตถุดิบในประเทศก็ไม่ได้เป็นข้อเสียอะไร น่าจะเป็นข้อดีมากกว่า
สำหรับประเด็นการเพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบสินค้าสวมสิทธิ์และสินค้าผ่านแดนนั้น ปัจจุบันได้มีการประสานความร่วมมือกับกรมการค้าต่างประเทศในการตรวจสอบสินค้ากลุ่มเสี่ยงกว่า 80 รายการ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin: C/O) ให้กับผู้ผลิต และกรมศุลกากร จะเป็นหน่วยงานสุ่มตรวจสินค้าที่นำเข้าและส่งออกอย่างรวดเร็ว
การจัดเก็บรายได้ของไทยลดลง สวนทางสหรัฐฯ
ส่วนแนวโน้มการจัดเก็บรายได้ของกรมในปีงบประมาณ 2568 รองอธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ได้ขอลดเป้าลง อยู่ที่ 1.12 แสนล้านบาท หลังการจัดเก็บได้รับผลกระทบจากภาพรวมเศรษฐกิจ รวมถึงการนำเข้ายานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ลดลง จากนโยบายของรัฐที่ส่งเสริมการผลิต EV ในประเทศ ทำให้การจัดเก็บรายได้หายไป ส่วนในปีงบประมาณ 2569 ยังคงต้องจับตาผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังรายงานผลการจัดเก็บรายได้กรมศุลกากร ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – มิถุนายน 2568) อยู่ที่ 85,318 ล้านบาท ลดลง 3.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน และต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ หรือเป้าหมาย 7.1%
สำหรับการปรับเป้าการจัดเก็บรายได้ของกรมในปีงบประมาณ 2569 รองอธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ต้องรอดูสถานการณ์ระยะแรกก่อนว่า หลังจากที่ประกาศใช้กฎหมายใหม่ออกไปแล้วมีผลอย่างไร แล้วจึงจะไปขอความตั้งความตกลงกับทางกระทรวงคลังต่อไป
โดยเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ กล่าวว่า รายได้จากภาษีศุลกากรซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจสูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี
หลังรายได้จากภาษีดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในเดือนกันยายน
เบสเซนต์กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบขาวว่า ตัวเลขประมาณการเดิมที่เขาเคยประเมินไว้ที่ 3 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีนั้นต่ำเกินไป
“เรามีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากจากเดือนกรกฎาคมไปเดือนสิงหาคม และผมคิดว่าเราจะเห็นการเพิ่มขึ้นที่มากขึ้นอีกจากเดือนสิงหาคมไปเดือนกันยายน” เบสเซนต์กล่าว
“ดังนั้น ผมคิดว่าเราอาจกำลังมุ่งหน้าไปสู่ตัวเลขที่สูงกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ หรืออาจจะถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ด้วยซ้ำ รัฐบาลนี้ของท่าน ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อการลดการขาดดุลงบประมาณ”
ทั้งนี้ นโยบายภาษีของทรัมป์ทำให้รายได้จากการเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นเกือบ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ จาก 7 พันล้านดอลลาร์ที่เก็บได้ในเดือนกรกฎาคมปี 2567 และใกล้เคียงกับที่เพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน
ทั้งนี้ สหรัฐฯ เพิ่งบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้ที่สูงขึ้นสำหรับคู่ค้าเกือบทั้งหมด เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา
ภาพ: Es sarawuth / Shutterstock
อ้างอิง:
