วันนี้ (26 มิถุนายน) พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ผอ.ศปอส.ตร.) เปิดเผยว่า สถานการณ์หลังการปิดด่านและการตัดระบบโทรคมนาคมในพื้นที่ชายแดนกัมพูชา ส่งผลให้แนวโน้มการหลอกลวงทางไซเบอร์ลดลง โดยพบว่าปัจจุบันการหลอกลวงทางไซเบอร์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีประเทศกัมพูชาเป็นที่ตั้งฐานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอันดับ 1
ซึ่งปัจจุบันมีการสกัดกั้นทางภาคพื้น คือตามพื้นที่แนวชายแดน และระบบโทรคมนาคมต่างๆ ไปในระดับหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดจากการโทรศัพท์เข้ามาหลอกลวง ซึ่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตจะถูกตัดบ่อยครั้ง เป็นผลมาจากการตัดระบบโทรคมนาคมของบริเวณชายแดนกัมพูชา
นอกจากนี้ประเทศไทยเตรียมดำเนินการทางคดีกับเจ้าของตึก 25 ชั้น และ 18 ชั้น ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา ฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผลไปถึงเจ้าของตึกทั้ง 2 หลัง เพื่อเอาผิดทางคดีคอลเซ็นเตอร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากประเทศกัมพูชาในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ และเมื่อมีสถานการณ์ความตึงเครียดที่ชายแดน ก็ยังไม่ได้มีการติดต่อกับตำรวจกัมพูชา หรือทางการของกัมพูชาในการประสานข้อมูลในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ถึงอย่างไรประเทศกัมพูชาและประเทศไทยนั้นเป็นสมาชิก UNODC และ INTERPOL ที่ประเทศสมาชิกจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและกฎบัตรที่มีอยู่ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะใช้ความร่วมมือขององค์กรระหว่างประเทศไปบังคับใช้กฎหมายเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชา
ส่วนความเป็นไปได้ในการขอความร่วมมือประเทศกัมพูชาในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องรอดูสถานการณ์ของทั้ง 2 ประเทศอีกครั้งหนึ่ง สำหรับการขยายผลไปถึงกลุ่มทุนเทาต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับกัมพูชา โดยเฉพาะฮุยวันกรุ๊ป ตำรวจมีข้อมูลในระดับหนึ่งว่ามีบุคคลใดเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าวบ้าง แต่ยังไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนว่าบริษัทดังกล่าวเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
แม้จะมีข้อมูลจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC เรื่องการตั้งฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเส้นทางการเงิน ก็ยังไม่เพียงพอที่จะใช้ดำเนินคดีทางกฎหมายได้ จึงต้องแสวงหาพยานหลักฐานอื่นๆ เพิ่มเติม เพราะบริษัทดังกล่าวไม่ได้มีการตั้งฐานอยู่ในประเทศไทย
ส่วนกรณีที่ทูตสหรัฐฯ เข้าพบนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (25 มิถุนายน) พล.อ.อ. ธัชชัย ระบุว่า พร้อมให้ความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเตรียมประสานขอข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางการเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มเครือข่าย และผู้เกี่ยวข้องต่างๆ มาใช้ประกอบในการดำเนินคดี รวมถึงการจับตาดูผู้ที่เดินทางเข้าออกประเทศบริเวณชายแดนที่กำลังมีปัญหาว่าจะมีบุคคลใดที่มีหมายจับ หรือเป็นที่จับตามองของนานาชาติและตามหมายของประเทศไทยหรือไม่