×

‘ปีแห่งการติดหุ้น’ ไทยกลายเป็นประเทศที่ ‘เศรษฐกิจโตช้า’ อย่างถาวร ทั้งที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาที่เคยโตเร็วมากเมื่อ 20-30 ปีก่อน

31.12.2024
  • LOADING...
ตลาดหุ้น

ดร.นิเวศน์ วิเคราะห์ทิ้งท้ายปีว่า ปี 2024 หรือ 2567 ที่กำลังจะผ่านไปในอีกเพียง 1 วันทำการนั้น ดัชนีตลาดหุ้นปิดที่ 1,402 จุด จากสิ้นปีที่แล้วที่ 1,416 จุด เท่ากับว่าติดลบประมาณ 1% หรือพูดง่ายๆ ว่า ‘เสมอตัว’ และเป็นอีกปีหนึ่งที่ ‘สูญหายไป’ หลังจากที่ปี 2566 ตลาดหุ้นไทยก็ติดลบไปประมาณ 15% และทั้งสองปีก็เป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยเกือบจะ ‘แย่ที่สุดในโลก’ เพราะตลาดหุ้นทั่วโลกต่างก็ทำผลตอบแทนที่ดีกันทั่วหน้าในระดับ ‘เลขสองหลัก’

 

และนั่นก็ทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็น ‘Lost Decade’ หรือ ‘ทศวรรษที่หายไป’ คือเป็นตลาดหุ้นที่ไม่ให้ผลตอบแทนเลยในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมา ‘อย่างเป็นทางการ’ เพราะดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อสิ้นปี 2014 อยู่ที่ 1,498 จุด สูงกว่าดัชนีในวันนี้ทั้งที่ผ่านมาแล้ว 10 ปีเต็ม

 

ปี 2024 นั้นมองในภาพใหญ่ก็คือ เศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวต่อจากปี 2023 ที่เป็นปีที่เศรษฐกิจฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด อัตราการเติบโตของ GDP ต่ำกว่า 3% ต่อปี และดูเหมือนว่านี่จะเป็น ‘อัตราปกติใหม่’ หรือ ‘New Normal’ ของเศรษฐกิจไทย คือปี 2025 และปีต่อๆ ไปเศรษฐกิจไทยก็อาจโตประมาณ 3% บวกลบ และเป็นประเทศที่ ‘เศรษฐกิจโตช้า’ อย่าง ‘ถาวร’ คล้ายๆ กับประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งๆ ที่เราเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่เคยโตเร็วมากในระดับ 5-7% ในช่วง 20-30 ปีก่อน

 

ดัชนีตลาดหุ้นปี 2024 ที่ดูเหมือนว่า ‘ทรงตัว’ นั้น มองลึกลงไปก็พบว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับหุ้นทุกตัวอย่างสม่ำเสมอ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือมีหุ้นขนาดใหญ่มากเพียงไม่กี่ตัวที่มีราคาเพิ่มขึ้นมาก และส่งผลต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ให้เพิ่มขึ้นในระดับไม่น้อยกว่า 6-7% ขึ้นไป โดยการขึ้นของราคาหุ้นนั้นอาจไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากพื้นฐานของกิจการ แต่น่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่าหุ้นถูก ‘Corner’ คือหุ้นที่มี Free Float ต่ำกว่าปกติ 

 

ในขณะที่ความต้องการซื้อที่ไม่ได้อิงกับพื้นฐานทางธุรกิจของหุ้นมีมากกว่า ทำให้หุ้นปรับตัวขึ้น ‘มโหฬาร’ ขนาดที่ทำให้ค่า P/E สูงขึ้นในระดับเกือบ 100 เท่า แทนที่จะเป็น 10-20 เท่าอย่างที่ควรเป็น

 

ส่วนหุ้นตัวใหญ่อื่นๆ และตัวเล็กๆ แทบทั้งหมดนั้นราคากลับตกลงมาแม้ว่าผลประกอบการก็อาจไม่ได้เลวร้าย บางตัวก็โดดเด่นด้วยซ้ำ แต่ก็อาจ ‘ไม่มีคนเล่น’ เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งคือ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิตลอดทั้งปีในระดับกว่า 1.4 แสนล้านบาท หลังจากที่ขายต่อเนื่องมาแทบทุกปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาในระดับปีละไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท และนั่นทำให้มีคำกล่าวในแวดวงนักลงทุนว่าปี 2024 นั้น ‘หุ้นขึ้นกระจุก-หุ้นลงกระจาย’ ทำให้นักลงทุนส่วนมากขาดทุน ในขณะที่มีน้อยคนมากที่ทำกำไรได้

 

ดร.นิเวศน์ วิเคราะห์อีกว่า ปี 2024 ประเด็นเรื่องหุ้นตัวใหญ่ถูก Corner มีการพูดถึงกันพอสมควร เพราะมันทำให้ดัชนีตลาดผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ประเด็นของหุ้นตัวกลางและเล็กหลายๆ ตัวที่ถูก Corner มานานเริ่มทยอย ‘แตก’ อย่างต่อเนื่อง โดยที่อาจไม่ได้เป็นข่าวอะไรมากนัก แต่สร้างความเจ็บปวดให้กับนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากและรายใหญ่ที่เป็นเจ้ามือหรือสปอนเซอร์หลักในการ Corner หุ้นตัวนั้นด้วย

 

เหตุผลที่ ‘Corner แตก’ นั้นเป็นเพราะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ส่งผลให้รายได้บริษัทลดลงและที่แย่กว่านั้น คือกำไรหดหายหรือการเติบโตลดลงมาก บริษัทที่หุ้นถูก Corner มานานมักจะสร้าง ‘สตอรี’ ไว้มากว่าจะเติบโตเร็ว มีความสามารถสูง รวมถึงมีการขยายตัวทำธุรกิจเพิ่มสารพัด โดยเฉพาะการเทกโอเวอร์ธุรกิจที่ไม่มีศักยภาพจริง มาถึงปีนี้ก็เริ่มแสดงให้เห็นว่าไม่มีผลงานและกลายเป็นภาระกับบริษัท สิ่งเหล่านี้ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจและเริ่มขายหุ้น

 

สถาบันการเงินและคนที่ซื้อหุ้นกู้ของบริษัทเริ่มขาดความมั่นใจและปฏิเสธที่จะต่ออายุวงเงินกู้ให้ บริษัทเริ่มจะมีปัญหาทางการเงิน หุ้นตกลงไปอีก จนถึงจุดที่ Corner แตกจริงๆ ก็คือหุ้นที่เจ้าของเองที่เคยกู้เงินเอามา Corner หุ้นตัวเองถูก Force Sell หรือบังคับขายหุ้นลงในตลาด ทำให้หุ้นตกลงไปถึง ‘พื้น’ บางทีติดต่อกันหลายวัน คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นเสียหายหนักกันทุกคน คนเลิกเข้าไปเล่นหุ้นที่ถูก Corner คนที่เล่นอยู่อยากจะออก โดยเฉพาะรายใหญ่ที่เข้าไปตั้งแต่แรก

 

แต่จะ ‘ออกของ’ หรือขายหุ้นจำนวนมากได้อย่างไรถ้า ‘ไม่มีคนรับหุ้น’ ในระดับราคาที่เป็นไปได้? และนี่ก็เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2024 ที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันลดลงอย่างต่อเนื่องอย่างที่ไม่เคยเห็นมานานเป็นสิบๆ ปีแล้ว ปริมาณการซื้อขายหุ้นไทยที่คึกคักที่สุดในอาเซียนและเคยสูงถึงแสนล้านบาทต่อวันในช่วงหนึ่งเมื่อ 5-6 ปีมาแล้วนั้น ล่าสุดเมื่อ 3-4 วันก่อนเหลือไม่เกิน 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน

 

นักลงทุนรายย่อยนั้น ที่ผ่านมาก็มักจะเล่น ‘หุ้นปั่น’ หรือหุ้นที่มีการ Corner โดยรายใหญ่หรือเจ้าของ หลังจากเจ็บตัวอย่างหนักมาต่อเนื่อง พวกเขาก็เริ่มหยุด จำนวนมากมีหุ้นที่ราคาลงมาหนักมาก เช่น หุ้นลดลงไป 60-70% อย่างรวดเร็ว และพวกเขารับไม่ได้ที่จะขายมันออกไป และนี่ก็คือการ ‘ติดหุ้น’ อย่างที่พูดกันในตลาดหุ้นไทย

 

นักลงทุนรายใหญ่รวมถึงเจ้าของหุ้นที่เข้าไป Corner หุ้นก็อาจไม่แพ้กันที่ขายหุ้นออกไม่ทัน เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วมาก สตอรีหรือผลประกอบการที่เป็นหัวใจของการทำ Corner ไม่รองรับที่จะชักชวนให้คนเชื่อว่าบริษัทยังดีเหมือนอย่างที่โฆษณาไว้ ทำให้สปอนเซอร์หลักไม่สามารถขายในปริมาณมากได้และต้องคอยซื้อประคองไม่ให้ราคาดิ่งลง พวกเขาอาจต้องทำเพื่อรอให้ผลประกอบการดีขึ้น แต่มันก็ไม่มาเสียที อาการแบบนี้ก็คือการ ‘ติดหุ้น’ ไม่นับว่าบางรายที่ Corner แตกไปแล้วแต่หุ้นก็ยังขายออกไปไม่ได้ เพราะความต้องการหุ้นหมดไปอย่างสิ้นเชิง

 

สำหรับคนที่ลงทุนในหุ้นตัวใหญ่หรือตัวกลางที่เป็นหุ้นหลักๆ ของตลาดและไม่มีการ Corner หุ้นหรือทำไม่ได้ ปี 2024 ก็ไม่ได้ปรานีพวกเขาเท่าไรนัก

 

ผลประกอบการของบริษัทจำนวนมากก็ไม่ดีตามภาวะเศรษฐกิจของไทย ทำให้หุ้นไม่ไปไหนแม้ว่าราคาหุ้นจะไม่แพง แต่นักลงทุนหุ้นรายใหญ่ที่เป็นผู้ลงทุนหลักอย่างนักลงทุนสถาบันโดยเฉพาะกองทุนรวมในประเทศต่างก็ไม่มีเม็ดเงินลงทุนพอที่จะรองรับการขายจากนักลงทุนต่างประเทศที่ขายสุทธิมาตลอดทั้งปีที่กว่า 1.4 แสนล้านบาท ดังนั้นหุ้นจึงมีแต่ซึมหรือลดลง

 

หุ้นขนาดกลางและใหญ่กลุ่มเดียวกันที่มีผลประกอบการดี บางรายน่าประทับใจและราคาไม่แพง ซึ่งเมื่อประกาศผลประกอบการราคาหุ้นน่าจะพุ่งขึ้น แต่ตรงกันข้าม ราคากลับตกลงไป บางทีหนักกว่าหุ้นที่ผลประกอบการธรรมดาๆ ด้วยซ้ำ เหตุผลก็แบบเดียวกัน

 

โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศที่มักจะถือโอกาสขายหุ้นล็อตใหญ่ออกมา เนื่องจากเห็นว่ามีนักลงทุนอื่นสนใจเข้ามาซื้อหุ้นเพราะเห็นว่าผลประกอบการดีขึ้นมาก ผลก็คือหุ้นดีราคาถูกก็ไม่ไปไหน เนื่องจากต่างชาติขาย และการที่ต่างชาติขายก็อาจเป็นเพราะพวกเขามองว่าเศรษฐกิจไทยในระยะยาวจะโตช้าหรือไม่โต ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทในอนาคตจะโตช้า ดังนั้นพวกเขาก็จะขายในตอนนี้

 

นักลงทุนไทยที่ลงทุนในหุ้นพื้นฐานมองว่าราคาหุ้นเหล่านั้นตกลงมาต่ำกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นจึงไม่ยอมขายหุ้น บางคนคิดว่าแค่ปันผลก็คุ้มที่จะถือแล้ว เขาจึงอดทนรอและหวังว่าตลาดหุ้นจะดีขึ้น และราคาหุ้นของเขาจะสูงขึ้น แต่สิ่งนั้นก็ไม่มาสักที พวกเขาจึง ‘ติดหุ้น’ ทำใจขายไม่ได้ เหนือสิ่งอื่นใดคือ ภาวะตลาดที่การซื้อขายซบเซามากนั้น พอเราขาย แม้ว่าจำนวนจะไม่มาก บางทีก็ทำให้ราคาลดลง ทำให้ผลตอบแทนพอร์ตลดลงไปอีก

 

สรุปก็คือ นักลงทุนแทบทุกกลุ่ม ‘ติดหุ้น’ ในระดับใดระดับหนึ่งในปี 2024 คือทำใจไม่ได้กับราคาที่จะขายได้ ทุกคนต่างก็ ‘รอ’ ว่าทุกอย่าง เฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจจะดีขึ้น ตลาดหุ้นจะดีขึ้น นักลงทุนจะเข้ามาซื้อหุ้นและลงทุนในตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ แต่ว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นไหมและเมื่อไรไม่มีใครรู้ ได้แต่หวังว่ามันจะเกิดขึ้น เพราะเราชินกับวัฏจักรเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่มีขึ้นต้องมีลงและต้องกลับมาขึ้นเสมอ

 

แต่สิ่งที่นักลงทุนอาจไม่ตระหนักก็คือ “ประเทศไทยอาจเปลี่ยนไปแล้วอย่างถาวรก็ได้ นั่นก็คือเรากำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุและคนเกิดน้อยลงเรื่อยๆ จนทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถเติบโตในอัตราเพิ่มสูงขึ้นได้ อย่างมากถ้าสามารถรักษาอัตราการเติบโตแบบนี้คือปีละ 2-3% ก็ดีมากแล้ว

 

“และถ้าเป็นอย่างนั้นก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่าดัชนีตลาดหุ้นก็ไม่ไปไหนหรือถอยหลังไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องยาวนาน เหนือสิ่งอื่นใดคือ เราก็เป็นอย่างนี้มาอย่างน้อย 10 ปีแล้ว ผมเองก็หวังว่าตนเองจะคิดผิด และเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยจะเปลี่ยนไปได้อย่างมหัศจรรย์ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป”

 

ภาพ: Tommy / Dev Images / Getty Images

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X