ท่ามกลางระเบียบโลกที่ผันผวน และเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ‘การเผชิญหน้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์’ ถือเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในงานสัมมนาความมั่นคงระดับนานาชาติ ‘Thailand Security Dialogue 2025’ ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-31 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นภายใต้ธีม ‘สันติภาพและความมั่นคงในโลกที่ปั่นป่วน’ (Peace and Security in a Global Disruption)
เวทีแรกของงานในปีนี้พูดคุยกันในประเด็นเรื่องการเผชิญหน้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์: นัยต่อยุทธศาสตร์ความมั่นคง (Geopolitical Confrontation and Conflict: Implications for Security Strategies) ที่มุ่งเน้นการทำความเข้าใจภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ โดยเฉพาะระเบียบโลกหลายขั้วอำนาจและพลวัตแห่งอำนาจ โดยมีผู้บัญชาการสูงสุดของทั้งไทย และแคนาดา รวมถึงผู้อำนวยการศูนย์ Think Tank และที่ปรึกษาวิจัยอาวุโสจากสหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองกัน
สภาวะโลกใหม่ในปัจจุบัน
พลเอก เจนนี คาริญอง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองทัพแคนาดา ใช้คำว่า ‘โลกที่ผันผวน ไม่แน่นอน วุ่นวาย และคลุมเครือ’ (VUCA: Volatile, Uncertain, Chaotic, and Ambiguous) ในการอธิบายสภาวะของโลกปัจจุบัน พร้อมระบุว่ามีปัจจัยเร่งหลายประการที่ทำให้โลกอยู่ในสภาวะนี้ รวมถึงการรวมตัวกันของภัยคุกคามต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาของการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์, อิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลเผด็จการและการเสื่อมถอยของประชาธิปไตย, ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รวมถึงระบบปฏิบัติการใหม่ๆ ที่เมื่อถูกนำมาใช้ในด้านการทหารแล้ว จะเปลี่ยนสมการทางยุทธศาสตร์หรือวิธีการทำสงครามอย่างสิ้นเชิง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงการเพิ่มขึ้นของสงครามแบบอสมมาตรที่เทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ราคาถูกสามารถลบล้างระบบเดิมที่มีราคาแพงได้ และการเผชิญหน้ากันในโดเมนใหม่ๆ เช่น ไซเบอร์ และอวกาศ โดยทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ฉากหลังของ การแบ่งขั้วอำนาจ, ข้อมูลที่บิดเบือน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
พลเอก เจนนี เน้นย้ำว่า เหตุการณ์ในภูมิภาคหนึ่งสามารถส่งผลกระทบไปทั่วโลกได้ และอินโด-แปซิฟิกมีความสำคัญอย่างยิ่ง ‘ไม่มีประเทศใดสามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้เพียงลำพัง’ พันธมิตรจึงมีความ ‘สำคัญมากกว่าที่เคย’
ความท้าทายต่อสันติภาพในอาเซียน
พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองบัญชาการกองทัพไทย ชี้ว่า หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญและเกี่ยวพันกับชีวิตประจำวันของผู้คนคือ ข้อมูลที่บิดเบือน (Disinformation) และข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (Misinformation) ซึ่งยากที่จะรับมือและควบคุมให้เป็นไปตามหลักจริยธรรม อีกทั้งประเด็นเรื่องวิกฤตในเมียนมา ซึ่งผูกโยงอยู่กับสันติภาพอาเซียน ก็มีความท้าทายอย่างมาก แม้จะมีฉันทมติ 5 ประการ แต่การดำเนินการยังไม่เป็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมากนัก
พลเอก ทรงวิทย์ มองว่า กลไกต่างๆ ของอาเซียน ควรสามารถแก้ไขความขัดแย้งและนำไปสู่การแข่งขันได้ แต่ต้องอาศัยวิสัยทัศน์และความยืดหยุ่น (Resilience) และถ้าหากอาเซียนสามารถยกระดับกลไกความร่วมมือนี้ เพื่อรวมการมีส่วนร่วมจากภายนอกภูมิภาค เช่น แคนาดา หรือประเทศอื่นๆ ก็จะยิ่งทำให้เรามีกลไกที่เข้มแข็งขึ้นในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
โดยหนึ่งในประเทศมหาอำนาจที่ถือว่ามีบทบาทอย่างมากต่อสันติภาพของภูมิภาคนี้คือ ‘สหรัฐอเมริกา’ ซึ่งกำลังถูกตั้งคำถามว่า สหรัฐฯ กำลังปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบาย และหันหัวเรือออกห่างจากภูมิภาคนี้หรือไม่
ซูซานน์ ปัวนานี วาเรส-ลัม อดีตนายทหารหญิงระดับพลตรีของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาความมั่นคงเอเชีย-แปซิฟิก แดเนียล เค. อิโนะอุเอะ (DKI-APCSS) ในสหรัฐฯ ระบุว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทุกๆ ด้าน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความมุ่งมั่นของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อภูมิภาคนี้ โดย พลตรี ซูซานน์ ยืนยันว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ถอนตัวออกจากภูมิภาคนี้ และความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ยังคงอยู่
เธอเน้นย้ำว่า ความสัมพันธ์และการทำงานเป็นทีมเป็นรากฐานของ ‘การบรรลุสันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง’ (Peace Through Strength) โดยสหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนที่สนับสนุนอาเซียนมาอย่างยาวนาน ทั้งยังเป็นคู่เจรจาตั้งแต่ปี 1977 และให้ความช่วยเหลือกว่า 1.47 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ปี 2002 รวมถึงมีส่วนร่วมในการฝึกซ้อมทางทหารกว่า 120 ครั้งในภูมิภาคนี้ในหนึ่งปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ถอยหนี หรือ ถอนตัวแต่ยังคงมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลล่าสุดจาก Lowy Institute ระบุว่าระหว่างปี 2017-2024 สหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนด้านกลาโหมอันดับต้นๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบทบาทของสหรัฐฯ ไม่ใช่การบังคับให้เลือกข้าง แต่เป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถ การทำงานร่วมกัน และความไว้วางใจ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญ
การเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ
ดร. โจเซฟ เลียว ชิน ยง ที่ปรึกษาวิจัยอาวุโส S. Rajaratnam School of International Studies (RSIS) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง สิงคโปร์ ระบุว่า แม้จะไม่มีมุมมองที่เป็นเอกภาพในสหรัฐฯ ว่าจะรับมือกับ ‘จีน’ อย่างไร แต่ก็มีฉันทามติว่า จีนเป็น ‘ปัญหาที่กำลังเติบโตขึ้น’ สำหรับสหรัฐฯ แม้ ดร. โจเซฟ จะไม่มั่นใจว่า จะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในเร็วๆ นี้หรือไม่ แต่เขาก็ยังเชื่อว่า ความสามารถในการพูดคุยกันยังคงมีความสำคัญอย่างมาก
ดร. โจเซฟยังมองว่า ที่ผ่านมา สหรัฐฯ เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในปัจจุบันกำลังเผชิญความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงในแนวนโยบายสหรัฐฯ ที่มีความเป็น ‘ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ’ (Economic Nationalism) มากยิ่งขึ้น โดยต้องการให้บริษัทต่างๆ กลับไปลงทุนในสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับในอดีต อีกทั้งสหรัฐฯ และจีนในปัจจุบันยังเปิดเผยมากขึ้นในเรื่องของ ‘การเลือกข้าง’
ดร. โจเซฟเสนอแนะว่า สิ่งที่ภูมิภาคนี้ทำได้คือ คิดและมองให้ไกลกว่าแค่สหรัฐฯ และจีน โดยพยายามขยายมุมมอง และให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือในภูมิภาค (Regionalism) ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และกระจายความสัมพันธ์ไปยังกลุ่มอื่นๆ
พร้อมทั้งคาดการณ์ถึงแนวโน้มในอนาคตว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงทั่วโลก ขณะที่ เทคโนโลยีจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและกิจการระหว่างประเทศ รวมถึงการทำสงคราม
ขณะที่ พลตรี ซูซานน์ เน้นย้ำถึงความสำคัญของ การจำลองสถานการณ์ และการจำลองการรบ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เกิดจาก AI, ระบบอัตโนมัติ (Autonomous Systems) และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) ซึ่งจะครอบงำเราในอีก 3-5 ปีข้างหน้า โดยเราทุกคนจะต้องจัดการและเตรียมความพร้อมเรื่องเหล่านี้ร่วมกัน
ทางด้าน พลเอก ทรงวิทย์ ระบุว่า ในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐฯ ไทยและอาเซียนพร้อมที่จะเสนอพื้นที่สำหรับความร่วมมือและการมีส่วนร่วม เพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้น แต่ในด้านการทหาร การมีส่วนร่วมทั้งหมดจะยึดผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทยเป็นหลัก และจะร่วมมือกับทุกประเทศ ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ และจีน แต่ยังรวมถึงประเทศจากยุโรปและอเมริกาใต้ หากเป็นประโยชน์ต่อผลประโยชน์ของไทยและภูมิภาคอาเซียนโดยรวม
ภาพ: THE STANDARD