‘งานในฝัน’ ที่หลายคนเชื่อว่ากำลังรออยู่ แท้จริงแล้วคือขุมนรกที่ถูกออกแบบมาอย่างตั้งใจ ภายในอาคารที่ดูเหมือนสำนักงานหรู แท้จริงคือเรือนจำ ที่คน 5-6 ชีวิตถูกอัดแน่นในหอพักแต่ละห้อง โทรศัพท์ถูกยึด การสื่อสารถูกตรวจสอบ คนเหล่านี้ถูกบังคับให้หลอกลวงคนอื่นต่อ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสัมพันธ์ปลอมๆ หรือการรีดไถเงินจากเหยื่อ และหากทำไม่ได้ตามเป้าหรือปฏิเสธ พวกเขาจะถูกทรมาน
นี่คือความจริงของ ‘ศูนย์สแกม’ ที่กำลังผุดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านของไทย อาชญากรรมข้ามชาติที่กลายเป็นอุตสาหกรรมพันล้าน และกำลังคุกคามความมั่นคงของทั้งภูมิภาค
THE STANDARD สัมภาษณ์พิเศษ เจสัน ทาวเวอร์ Senior Expert จาก Global Initiative Against Transnational Organized Crime (GI-TOC) ผู้เชี่ยวชาญแนวหน้าด้าน ‘วงล้อมอาชญากรรม’ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขาได้ตีพิมพ์รายงานหลายฉบับ ชี้ให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของกลุ่มติดอาวุธและอาชญากรข้ามชาติจีน และให้การต่อรัฐสภาสหรัฐฯ หลายครั้ง
เจสัน ทาวเวอร์ ศึกษาเรื่องอาชญากรรมข้ามชาติศูนย์สแกมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2019 และเห็นได้ชัดว่าเป็นภัยคุกคามที่กำลังล้อมกรอบไทย และย้ำทุกคนตกเป็นเหยื่อได้
จาก ‘คาสิโน’ สู่ ‘ขุมนรก’: ความจริงของศูนย์สแกม
เมื่อถามถึงสภาพความเป็นจริงของศูนย์สแกมในกัมพูชา ทาวเวอร์อธิบายว่าเป็นสถานที่อันน่าสะพรึงกลัว
เขากล่าวว่า เรากำลังพูดถึงสถานที่ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมีวัตถุประสงค์เฉพาะ ซึ่งบางครั้งดูเหมือนสิ่งปลูกสร้างของเรือนจำที่ออกแบบมาด้วยเจตนาที่จะกักขังคนไว้ข้างใน
เหยื่อที่ถูกคุมขังต้องเผชิญกับการทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ผู้คนถูกขังในห้องมืด ถูกจับใส่กรงกับสุนัขป่า ถูกไฟฟ้าช็อต ถูกทุบตี ถูกทำให้อับอาย ทาวเวอร์เล่าถึงชะตากรรมของเหยื่อว่า ความรุนแรงทางเพศก็เกิดขึ้นเช่นกัน ทั้งการข่มขืนและการล่วงละเมิดทางเพศ มันเลวร้ายมาก
ในทางตรงกันข้าม ถ้าใครเป็นสแกมเมอร์ที่เก่งมาก พวกเขาจะได้รับรางวัล รวมถึงการเข้าถึงไนต์คลับ โสเภณี ผลประโยชน์ทางการเงิน หรือแม้แต่ยาเสพติด
‘รัฐสแกม’ (Scam State): เมื่ออาชญากรรมกลืนกิน 50% ของ GDP
ทาวเวอร์ระบุว่า เรื่องที่น่าตกใจที่สุดคือขนาดของเครือข่ายนี้ มีอาคารเหล่านี้หลายร้อยแห่งทั่วกัมพูชา อยู่ในเกือบทุกจังหวัด ทั้งในเขตเมืองอย่างสีหนุวิลล์และพนมเปญ ไปจนถึงพื้นที่ชายแดน
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีชนชั้นนำจำนวนมากที่สนับสนุนการก่อสร้างและการดำเนินงานของสิ่งเหล่านี้อย่างเปิดเผย
ทาวเวอร์อธิบายว่า เมื่อใดก็ตามที่มีแรงกดดันจากภายนอก ชนชั้นนำเหล่านี้จะส่งสัญญาณเตือน (Giving Tip Offs) ไปยังทีมผู้บริหารของศูนย์ ทำให้พวกเขาสามารถย้ายคนได้ทันที ทำให้การปราบปรามแทบเป็นไปไม่ได้
ธุรกิจนี้ทำเงินมหาศาล ศูนย์เหล่านี้มักดำเนินการแบบ ‘ไฮบริด’ คือทั้งการพนันออนไลน์ (ตลาดนี้มีมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี) และธุรกิจที่ใหญ่กว่าในตอนนี้คือการหลอกลวงออนไลน์
การหลอกลวงในปัจจุบันมีความซับซ้อนสูง ออกแบบมาเพื่อกวาดล้างเหยื่อให้หมดสิ้นซึ่งทรัพย์สินทั้งหมด มีเหยื่อชาวอเมริกันที่สูญเสียเงินหลายล้านดอลลาร์ บางรายสูญเงินมากถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพียงคนเดียว
ทาวเวอร์ยกตัวอย่างระบบของศูนย์สแกมเหล่านี้ที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีศูนย์แห่งหนึ่งซึ่งมีสแกมเมอร์เพียงประมาณ 100 คน แต่สามารถหลอกลวงชาวอินเดียได้ถึง 66,000 คนในระยะเวลาเพียง 6 เดือน
รายงานจาก UNODC สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ประเมินว่า เครือข่ายสแกมที่ดำเนินงานจากกัมพูชากำลังกวาดเงินอย่างน้อย 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับ 50% ของ GDP ของประเทศ
ทั้งหมดนี้จะเป็นไปไม่ได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นนำที่มีอำนาจมากภายในรัฐบาล และกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้กัมพูชาถูกเรียกว่า ‘รัฐสแกม’ มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเศรษฐกิจส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนฐานของเศรษฐกิจสแกม
เขายังชี้ให้เห็นถึงรูปแบบซ้ำๆ ที่เจ้าหน้าที่ระดับสูง ทั้งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ปรากฏตัวในพิธีตัดริบบิ้นสำหรับศูนย์สแกมเหล่านี้
เศรษฐกิจที่ดูเหมือนถูกกฎหมาย เช่น อสังหาริมทรัพย์หรือร้านอาหาร บ่อยครั้งเงินทุนที่เข้าไปสนับสนุนสิ่งเหล่านั้น ถูกดึงมาจากเศรษฐกิจสแกม ซึ่งคือการฟอกเงิน ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติย้ายออกไปแล้ว เพราะสถานการณ์ความปลอดภัยเลวร้ายมาก
มหาอำนาจโต้กลับ: ปฏิบัติการอายัดทรัพย์ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์
เมื่อเร็วๆ นี้ สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรได้ดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่อเครือข่ายนี้ รวมถึง Prince Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในกัมพูชา ทาวเวอร์เรียกปฏิบัติการแบบนี้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทางการสหรัฐฯ สามารถระบุบริษัทในเครือข่ายนี้ได้กว่า 140 แห่ง และยึดเงิน 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในรูปคริปโตเคอร์เรนซี ในขณะที่สหราชอาณาจักรก็ยึดทรัพย์สินจำนวนมาก
แม้ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์จะฟังดูมาก แต่ทาวเวอร์เตือนว่า ขนาดของเศรษฐกิจสแกมในภูมิภาค (กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา) สูงถึงเกือบ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การหลอกลวงยังคงเดินหน้าต่อไป
แรงกดดันนี้อาจส่งผลให้เกิดการปรับตัว ทาวเวอร์เชื่อว่าศูนย์สแกมอาจกำลังเร่งขยายธุรกิจในเมียนมาและ สปป.ลาว เพื่อกระจายความเสี่ยง
สำหรับกัมพูชา นี่คือ ‘ทางแยก’ และมี 2 ทางเลือก:
1. ปฏิรูป: ร่วมมือกับประชาคมโลกเพื่อกำจัดอาชญากรรมนี้ ซึ่งต้องใช้การปฏิรูปครั้งใหญ่ ทั้งสถาบันของรัฐและสร้างเศรษฐกิจทั้งหมดขึ้นมาใหม่
2. ปฏิเสธ: ทำเหมือนที่เคยทำในอดีตคือ การประณามและการปฏิเสธ รวมทั้งปกป้องอุตสาหกรรมสแกมต่อไป
ประเทศไทย: ‘จุดศูนย์กลาง’ ที่ถูกล้อมกรอบ
ทาวเวอร์มองว่าประเทศไทยกำลังถูกล้อมกรอบด้วยศูนย์สแกมเหล่านี้ ไทยคือจุดศูนย์กลางของกิจกรรมทั้งหมดนี้ เป็น ‘ทางผ่านหลัก’
เหยื่อจำนวนมากถูกล่อลวงมายังประเทศไทยด้วยคำสัญญาว่ามีงานรออยู่ แต่เมื่อมาถึงพวกเขากลับถูกลักลอบขนส่งข้ามพรมแดนไป อาชญากรใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของไทยที่เป็นสังคมเปิดและศูนย์กลางการท่องเที่ยว ขณะที่จุดอ่อนสำคัญของไทยคือ ‘พรมแดนที่ควบคุมได้ยาก’ และการถูกล้อมรอบด้วยแหล่งอาชญากรรมนี้
ทาวเวอร์ชี้ว่า แนวทางของไทยในปัจจุบันเป็น ‘แบบเฉพาะกิจ’ อาทิ ต้นปีมุ่งเน้นชายแดนเมียนมา แต่ปลายปีก็ต้องหันมาจัดการชายแดนกัมพูชา
ไทยไม่สามารถมองแค่ชายแดนเดียวได้ แต่ต้องมองภาพรวมของภัยคุกคามทั้งหมดและความเชื่อมโยงกัน
ภัยคุกคามอีกประการคือ ‘การฟอกเงิน’ เครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้กำลังพยายามนำทรัพย์สินที่ขโมยมาเข้าสู่เศรษฐกิจไทย เช่นเดียวกับที่ทำในสิงคโปร์หรือฮ่องกง
บทเรียนจากเกาหลีใต้: เมื่อรัฐบาล ‘เอาจริง’
ทาวเวอร์ชี้ว่า เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่แสดงเจตจำนงทางการเมืองอย่างชัดเจนในการจัดการปัญหานี้ โดยรัฐบาลเกาหลีใต้กำลังดำเนินการเชิงรุกอย่างมากเพื่อเตือนคนในชาติเกี่ยวกับการเดินทางไปกัมพูชา มาตรการที่เด็ดขาดเหล่านี้รวมถึงการออก ‘คำสั่งอพยพ’ และ ‘ห้ามการเดินทาง’ เพื่อพยายามตัดการเข้าถึงกัมพูชาของชาวเกาหลี และสื่อสารให้ชัดเจนว่า “ไม่มีงานที่ถูกกฎหมายในกัมพูชา”
ข้อเสนอเร่งด่วน 3 ประการถึงรัฐบาลไทย
แม้ไทยจะมีความเสี่ยงสูง แต่ทาวเวอร์ก็ชื่นชมว่าประเทศไทยทำได้ดีในการขัดขวางการก่อตัวของศูนย์ภายในประเทศ และตำรวจไทยก็พยายามปราบปรามอย่างเด็ดขาด
แต่ไทยเผชิญความท้าทายหลักคือ ภัยคุกคามข้ามพรมแดนและการฟอกเงิน เขามีข้อเสนอเร่งด่วนถึงรัฐบาลไทย:
1. ก้าวขึ้นเป็นผู้นำระหว่างประเทศ: ประเทศไทยสามารถมีบทบาทนำอย่างแท้จริงในภูมิภาคได้ โดยการสร้างกองกำลังเฉพาะกิจระหว่างประเทศร่วมกับประเทศที่แสดงเจตจำนงทางการเมือง เช่น สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามตามแนวชายแดน
2. ใช้ยุทธศาสตร์แบบองค์รวม: ไทยต้องเลิกแนวทาง ‘เฉพาะกิจ’ และใช้ศักยภาพของตำรวจไทย ผนวกกับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของรัฐบาล เพื่อจัดการภัยคุกคามอย่างเป็นระบบในทุกแนวชายแดน
3. ใช้เวทีพหุภาคี: ไทยในฐานะรัฐที่อยู่แนวหน้า ควรนำปัญหานี้หยิบยกขึ้นมาบนเวทีพหุภาคีอื่นๆ โดยเฉพาะ ASEAN และ BIMSTEC (เนื่องจากเอเชียใต้เริ่มได้รับผลกระทบมากขึ้น) เพื่อช่วยให้ประเทศอื่นสร้างภูมิคุ้มกัน
‘ทุกคนคือเหยื่อ’: สัญญาณอันตรายที่คนไทยต้องรู้
ทาวเวอร์ย้ำว่าการป้องกันตัวเองในระดับประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยมี สัญญาณอันตรายที่ชัดเจน:
- งานที่ ‘ดีเกินจริง’: ทาวเวอร์ย้ำว่า หากมีอะไรที่ฟังดูดีเกินจริง มันก็มักจะเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะโฆษณางานในกัมพูชา เมียนมา หรือ สปป.ลาว ที่ให้ค่าจ้างดีกว่างานในประเทศไทย เพราะงานเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง
- บริษัทเทคโนโลยีในพื้นที่เสี่ยง: หากบริษัทอ้างว่ามีสำนักงานในเมียนมาหรือกัมพูชา ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ควรเป็นสัญญาณอันตรายทันที
- การคลิกลิงก์: ต้องระมัดระวังอย่างมากเกี่ยวกับการคลิกอะไรก็ตามบนโทรศัพท์ของคุณ เครือข่ายเหล่านี้เริ่มใช้มัลแวร์ จึงต้องหลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์เหล่านั้น
- แอปหาคู่และคริปโต: ทุกครั้งที่เริ่มเห็นใครบางคนพูดคุยเกี่ยวกับคริปโตหลังจากที่พบกันในแอปหาคู่ คือสัญญาณอันตรายในทันที
บทสรุป: ภัยคุกคามที่ใหญ่เท่า ‘ยาเสพติด’
ทาวเวอร์ให้ภาพอนาคตที่น่ากังวลที่สุดหากภูมิภาคนี้ล้มเหลวในการจัดการ เขาชี้ว่า เพียงแค่ย้อนกลับไป ‘ 3 ปีครึ่ง’ ยังไม่มีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกถูกหลอกลวงเข้าไปในศูนย์สแกมในภูมิภาคนี้ หรือมีศูนย์สแกมที่ตั้งเป้าหมายผู้คนในทุกมุมโลก
‘ในเวลาเพียง 3 ปีครึ่ง ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว’
ทาวเวอร์กล่าวว่า สิ่งนี้เพียงอย่างเดียวควรจะเป็นสัญญาณเตือนภัยที่แท้จริงต่อทั้งภูมิภาค เพราะตอนนี้ทั่วโลกมองว่านี่คือภัยคุกคามความมั่นคงระดับโลก
ทาวเวอร์เปรียบเทียบวิกฤตนี้กับปัญหายาเสพติดโดยกล่าวว่า
“ย้อนกลับไป 3 ปีครึ่ง ผู้คนไม่ได้พูดถึง ‘รัฐสแกม’ หรือยังไม่รู้สึกว่าสแกมจะมาเป็นปัญหาใหญ่พอๆ กับเศรษฐกิจยาเสพติด ตอนนี้มีทั้งเศรษฐกิจสแกมและเศรษฐกิจยาเสพติด ยากที่จะบอกว่าเรื่องไหนใหญ่กว่ากัน”
ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ตรวจสอบปัญหาจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อาชญากรจะมีอำนาจมากขึ้น และจะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการพัฒนาและความก้าวหน้าของภูมิภาค
“ภูมิภาคนี้จำเป็นต้องเริ่มดำเนินการ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลง” เขาสรุปอย่างหนักแน่นว่า “นี่คือเวลาที่ต้องลงมือจริงๆ”