สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงต่อการอภิปรายของฝ่ายค้านในประเด็นเศรษฐกิจว่า การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุผลที่เกิดความเลื่อมล้ำมากเพราะผลผลิตและบริการของเรามูลค่าต่ำ เกษตรกรได้รายได้ต่ำ แรงงานไม่สามารถขึ้นค่าแรงได้เพราะเอกชนไม่กล้าลงทุน เราเน้นเรื่องการส่งออกนำ เพราะการทำเศรษฐกิจให้แข็งแรงต้องใช้พลังมหาศาล ต้องใช้ทางลัดคือส่งออกแทน โดยใช้ BOI จูงใจ ทำให้ภาพภายในเหมือนคนเป็นโปลิโอ โดยบริษัทใหญ่ได้ประโยชน์ แต่รากหญ้าไปไม่ถึง ความล้มเหลวของเราคือ เมื่อมีความเติบโตทางเศรษฐกิจแล้วเราไม่สามารถทอนความมั่งคั่งไปสู่รากหญ้าได้เร็วพอ ทำให้เกิดช่วงห่างมหาศาล
นายกฯ จึงสั่งให้เริ่มทำคือ ทำอย่างไรให้มีมูลค่าผลผลิตและบริการสูงขึ้น จึงเกิดโครงการ EEC ไม่เฉพาะด้านไฮเทคอย่างเดียว แต่เน้นการเกษตร เรื่องไบโอเทคโนโลยี การท่องเที่ยว โดยโครงการนี้จะเป็นเบ้าหลอมสร้างอุตสาหกรรมเหล่านี้ในอนาคตข้างหน้า แต่เราไม่มีปัญญา เพราะขาดบุคลากร ความสามารถ จึงต้องเอานักลงทุนจากต่างประเทศที่เก่งแต่ละด้านมาร่วมกับเรา โดยต้องมีจุดลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เรื่องดิจิทัลต่างๆ เพื่อรองรับให้เขามีความสนใจมาลงทุน รวมถึง BOI ออกมาตรการเพื่อจูงใจด้วย
จึงเป็นเหตุผลว่าการลงทุนขนาดใหญ่เป็นสิ่งจำเป็น ในสมัยรัฐบาลไทยรักไทยที่ต้องการจะลงทุนขนาดใหญ่ มีการเรียกประชุมทูตทั่วโลกว่าจะมีการลงทุน ประมาณ 1-2 ล้านล้านบาท โดยมีความคิดอย่างเดียวคือจะใช้เงินกู้ แต่ลองนึกดูว่าหากกู้ขนาดนั้น หนี้สาธารณะจะเป็นเท่าไร แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมา 10 กว่าปี ทำให้เห็นประสบการณ์มากขึ้น และรู้ว่าไม่จำเป็นต้องกู้เลย โดยสามารถดึงเอกชนเข้ามาลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เปิดโอกาสเอกชนที่มีพลังทำโครงการขนาดใหญ่ เช่น รถไฟ สนามบิน ดิจิทัลพาร์ก โดยการรวมกลุ่มกับต่างประเทศ เอาผู้เชี่ยวชาญมาลงทุนแข่งขันกัน ไม่ใช่ผูกขาด จากนั้นเราได้มีการโรดโชว์
“มันไม่ใช่ของง่ายที่จู่ๆ โครงการที่ไม่มีเลยจากศูนย์ แล้วภายใน 4-5 ปีกลายเป็นจีน ญี่ปุ่น และเวทีระดับโลกมีการพูดถึง EEC ทั้งนั้น โดยมีการยกไทยให้เป็นการลงทุนระดับแรก แต่ยอมรับว่าเมื่อเป็นโครงการขนาดใหญ่ก็ต้องมีจุดอ่อนบ้าง แต่ก็มีการเร่งแก้ไขโดยลำดับ
โดยเลขาธิการ EEC และคณะผู้บริหารทำงานอย่างหนัก เราสร้างจากศูนย์จนทำให้สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนามสั่นคลอนได้ หากคิดว่าทุกอย่างไม่ดีมีผลเสีย ลองคิดมุมกลับดูว่าถ้าไม่มี EEC วันนี้เราจะเป็นอย่างไร จะสู้เวียดนามได้หรือไม่
เราจึงจำเป็นต้องสร้างสตอรี โดยกระทรวงการต่างประเทศ ต้องนำเรื่องราวเหล่านี้ไปใส่ในหัวผู้นำต่างๆ ให้เห็นว่าไทยเป็นศูนย์กลางโดยมี EEC ที่จะเป็นเบ้าหลอมการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน ท่าเรือน้ำลึก และยังเป็นใจกลางของประเทศ CRMB สามารถกระจายการลงทุนไปหลายประเทศได้ เราขายไอเดียจนจีนให้ฮ่องกง กวางตุ้ง มาเก๊า ซึ่งเป็นหัวหอกของโลกมาลงทุนได้ภายในเวลา 3-4 ปี”
สมคิดกล่าวว่า ที่มีการโจมตีโดยกล่าวหาว่ามีการบุกรุกที่ดินทำกิน ใช้พื้นที่เอื้อประโยชน์ให้เอกชน ซึ่งคณะรัฐมนตรีทำด้วยความอดทนและเริ่มต้นด้วยดี มีการลงทุนเข้ามา แต่จู่ๆ จะให้ระดับใหญ่ๆ เข้ามาทันทีคงไม่ได้ เพราะเขายังไม่มั่นใจ จะต้องมีการทำทีละขั้นตอน โดยสามารถดูตัวเลขของ BOI ได้
สมคิดยังกล่าวว่า รัฐบาลนี้เป็นคนกระตุ้นเรื่องดิจิทัล โดยการลงทุนอินเทอร์เน็ต 70,000 หมู่บ้าน และจะมี 5G ภายในปีนี้ ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะหากเวียดนามมี 5G แล้วเราไม่มี อีกหน่อยผลิตภาพการผลิตสู้เขาไม่ได้ ไม่มีใครอยู่ด้วย แต่ที่สำคัญสุดผลงานชิ้นใหญ่ของรัฐบาลคือ National e-Payment และ e-Government โดยขณะนี้กรมบัญชีกลางสามารถส่งเงินโดยตรงระหว่างรัฐต่อรัฐและประชาชนได้ ช่วยลดต้นทุนเป็นหมื่นล้านต่อปี แต่ที่สำคัญ PromptPay สามารถทำให้สวัสดิการประชาชนเกิดขึ้นครั้งแรกได้อย่างจริงจัง สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายและยิงเงินได้โดยตรง ไม่มีคอร์รัปชันได้เลย อยู่ที่ว่ามีฐานข้อมูลขนาดไหน หากเอาไปผนวกกับการลงทุนของเอกชน จะสามารถสร้าง Big Data ที่มีประสิทธิภาพสูงในการบริหารประเทศในวันข้างหน้าได้
“สวัสดิการประชารัฐไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เพราะเราสัญญาว่าคนแก่คนจนต้องได้ ที่สำคัญคนที่ทำมาหากินมีครอบครัวต้องมีอะไรบางอย่างให้เขา จึงเป็นโครงการที่สำคัญมากสำหรับประเทศไทย”
สมคิดกล่าวว่า ตนดีใจที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. ฝ่ายค้านพูดถึงเรื่องเกษตรกร เพราะรากเหง้าอย่างหนึ่งของความเหลื่อมล้ำคือเราไม่จริงจังกับการปฏิรูปภาคเกษตรเท่าที่ควร เราจำนำ-ประกันราคาสินค้าการเกษตร ซึ่งเป็นความจำเป็นที่ต้องช่วย แต่ถ้าตราบใดที่เร่งเรื่องการผลิต ไม่มองที่ชุมชน จะไม่สามารถขจัดความยากจนได้เลย ถ้าจะให้เกษตรกรแปรรูปผลผลิตได้ต้องมุ่งไปที่วิสาหกิจชุมชน ต้องหาเครื่องจักรให้ชุมชน เชื่อมต่อการท่องเที่ยวให้เข้าถึงชุมชน ชิมช้อปใช้ ไม่ได้ตั้งให้สนุก แต่เป็นการดึงคนกรุงที่มีอำนาจซื้อเข้าไปจับจ่ายในชนบท ตอนนี้ไม่ได้เอื้อแค่ร้านสะดวกซื้อ แต่เอื้อทุกอย่างในประเทศไทย สิ่งเหล่านี้ตนเรียกว่า ‘ประชารัฐสร้างไทย’ ไม่ได้เกี่ยวกับพรรค เพราะตนคิดเรื่องนี้มาก่อน และการทำงานต้องมีประชาชน เอกชน และรัฐรวมกัน เป็นที่มาของชื่อนี้ สิ่งเหล่านี้ที่รัฐบาลกำลังทำ ทำให้ดัชนีต่างๆ ดีขึ้นทุกตัว จน World Bank ยังชมว่าไทยเป็นตัวอย่างของการพัฒนาประเทศ GDP ของประเทศโตขึ้น 3 ล้านล้าน จากปี 2558 นี่หรือรัฐบาลไม่มีผลงาน เจ้าสัวไม่ต้องเอื้อเขา แค่หุ้นขึ้นเขาก็สบายแล้ว จะไปเอื้อเขาทำไม
“อีกสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เอ่ยไม่ได้คือ เราสามารถสร้างมิตรประเทศได้มหาศาล แม้ช่วงแรกที่รัฐประหารจะไม่ได้รับการยอมรับ แต่ปัจจุบันเราทำการประชุมอาเซียนได้อย่างสง่าผ่าเผย แต่ตอนนี้มรสุมหลายลูกเข้ามาที่ประเทศไทย พอจีนทรุดในสงครามการค้า ทุกประเทศก็ทรุดหมด แม้เวียดนามจะยังโตได้ แต่เขาอยู่คนละขั้นกับเราที่ยังโตได้ แต่เราก้าวมาอีกขั้นแล้ว ก็ต้องสู้ต่อไป ขณะเดียวกันเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ตอนนี้ก็เริ่มคลี่คลาย เป็นเรื่องมาตรการการเงินของแบงก์ชาติ ระเบิดลูกต่อมาคืองบประมาณที่ผ่านการพิจารณาอย่างล่าช้า รายจ่ายของรัฐบาลก็ติดลบ 5.1 แต่หลังจากนี้ต้องช่วยกันให้งบประมาณที่ผ่านมาแล้ว โครงการก็ต้องทำให้ได้ และลูกระเบิดสุดท้ายคือโรคระบาด ที่ไม่ได้กระทบท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่กระทบทุกอย่าง คนไม่ออกมาร้านค้า ฯลฯ แต่ถ้าตอนนี้เราร่วมกันทำงาน ให้ทุกฝ่ายร่วมกัน ทุกคนก็จะมีความหวัง” สมคิดกล่าว
ติดตามบทความที่เกี่ยวข้องได้ที่
- ฟัง ทิม พิธา ชำแหละเศรษฐกิจไทย ใครกันที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
- ทิม พิธา ดาบแรกคณะอนาคตใหม่ซักฟอกประยุทธ์ ตอกย้ำไทยเหลื่อมล้ำ รวยกระจุก จนกระจาย
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ที่ www.facebook.com/thestandardth