“ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แจ้งว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงติดตามการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเด็กและโค้ชฟุตบอลจำนวน 13 ราย รวมทั้งทรงห่วงใยกลุ่มผู้ประสบภัยทุกคน และทรงให้กำลังใจไปยังครอบครัวผู้ประสบภัยทุกคน ขอให้ทุกคนปลอดภัย รวมถึงทรงให้กำลังใจผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการติดตามค้นหา ขอให้ประสบความสำเร็จ”
ข้างต้นคือถ้อยคำจาก พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคนไทยจำนวนมากที่ติดตามข่าวต่างรู้สึกเช่นเดียวกันกับพระองค์
จากปรากฏการณ์ 13 หมูป่าได้ให้อะไรกับประเทศไทยหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือทำให้ใจของประชาชนคนไทยทั้งชาติได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งระหว่างประชาชนด้วยกัน รวมถึงประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นศูนย์รวมใจของคนไทยมาต่อเนื่องยาวนานไม่ขาดสาย
ครั้งนี้มิใช่ครั้งแรกที่พสกนิกรชาวไทยได้แสดงออกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันร่วมกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่มีอีกหลายต่อหลายครั้งที่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้เป็นศูนย์รวมใจของพสกนิกรชาวไทย ไม่ว่าจะในคราวใดก็ตาม
ทำพระทัยและแสดงความเสียใจร่วมกับประชาชนทั้งประเทศ
ภายหลังการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ทั่วทั้งประเทศอยู่ในความโศกเศร้า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ได้รับสั่งต่อ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไว้ดังความตอนหนึ่งว่า
“ท่านทรงขอเวลาทำพระทัยและแสดงความเสียใจร่วมกับประชาชนทั้งประเทศไปก่อนในระยะเวลานี้ และท่านขอเวลาสำหรับกระบวนการของกฎหมาย ในการอัญเชิญขึ้นสืบราชสมบัตินั้นให้รอเวลาที่เหมาะสม เมื่อทรงร่วมแสดงความเสียใจและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ร่วมกับประชาชนผ่านพ้นไปแล้ว”
พระราชทานกำลังใจร่วมกับคนไทยทั้งประเทศ
กิจกรรมก้าวคนละก้าว เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่คนไทยทุกคนติดตามและส่งกำลังแรงกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ร่วมกัน ในคราวนั้นประชาชนชาวไทยจำนวนมากต่างมีใจเป็นหนึ่งเดียวกันที่อยากจะขอบคุณในความเหน็ดเหนื่อยของ ตูน บอดี้สแลม หรือนายอาทิวราห์ คงมาลัย และทีมงาน
เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง เมื่อในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พลอากาศโท ภักดี แสง-ชูโต ผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ อัญเชิญดอกไม้พระราชทานมามอบให้ตูนและคณะ และทรงให้อัญเชิญพระกระแสรับสั่งมาถึงตูนและคณะว่าพระองค์ทรงเป็นกำลังใจ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง และปฏิบัติภารกิจที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
พระราชทานขวัญกำลังใจ: พระราชอำนาจทางจารีตประเพณีของสถาบันพระมหากษัตริย์
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยมาสู่ระบอบประชาธิปไตย สถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงดำรงอยู่เคียงคู่ความเป็นไปต่างๆ ในประเทศไทยโดยตลอด และพระราชอำนาจทางจารีตประเพณีของสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยังคงดำรงอยู่ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยเรื่อยมา
พระราชอำนาจดังกล่าวประกอบด้วย พระราชอำนาจในการพระราชทานขวัญกำลังใจ พระราชอำนาจในการพระราชทานคำแนะนำ ให้คำปรึกษาหารือ และพระราชอำนาจในการตักเตือนรัฐบาล
นับเนื่องมายาวนานลุจนถึงปัจจุบัน ชัดเจนแล้วว่าปวงชนชาวไทยไม่สามารถตัดขาดชีวิตจากพระราชอำนาจทางจารีตประเพณีของสถาบันพระมหากษัตริย์ไปได้
อย่างไรก็ดี ภายหลังจากการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทยในวันที่ 13 ตุลาคม 2559 พสกนิกรทั่วประเทศได้สูญเสียศูนย์รวมจิตใจและตกอยู่ในบรรยากาศแห่งความโศกเศร้า แต่เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2559 หลังจากที่คณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในฐานะปฏิบัติหน้าที่รัฐสภา ได้ดำเนินการตามขั้นตอนกฎมณเฑียรบาลและรัฐธรรมนูญในการสถาปนาพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ ประเทศไทยก็ได้มีศูนย์รวมใจสืบต่อจากรัชกาลที่ 9 อีกหน
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2559 อันเป็นวันแรกภายหลังจากผ่านพระราชพิธีเสด็จฯ ขึ้นทรงราชย์ เราได้พบเห็นความปีติยินดีของพสกนิกรภายหลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ความโศกเศร้า เช่น นางชรันดา หาสุข กล่าวว่า
“เมื่อทราบว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงรับขึ้นทรงราชย์เป็นในหลวงรัชกาลที่ 10 ก็ดีใจ มีความหวัง เพราะที่ผ่านมาเราสูญเสียมามาก อยากให้ประเทศชาติสงบสุข ร่มเย็น คนไทยรักและสามัคคีกันใต้ร่มพระบารมีรัชกาลที่ 10”
เช่นเดียวกันกับผู้นำมุสลิมที่มัสยิดยามิอุ้ลอิสลาม ได้นำชาวไทยมุสลิมกว่า 1,000 คนร่วมละหมาดในวันศุกร์ โดยภายหลังละหมาดเสร็จได้ร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีด้วยภาษาอาหรับเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ภายหลังจากการเสด็จฯ ขึ้นทรงราชย์ ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงใช้พระราชอำนาจทางจารีตประเพณีของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการพระราชทานคำแนะนำต่อรัฐบาลเพื่อการบริหารกิจการต่างๆ ในคราวสำคัญ
ทั้งนี้ล้วนเป็นไปเพื่อแก้ไขความขัดแย้งและสร้างขวัญกำลังใจ อำนวยความสุขให้เกิดแก่พสกนิกรนับตั้งแต่เริ่มต้นรัชสมัยของพระองค์
ทรงแสดงความห่วงใยพสกนิกรที่ประสบอุทกภัย
จากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้อันเป็นผลจากฝนที่ตกหนักตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 25 มกราคม 2560 ส่งผลให้เกิดอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีพสกนิกรในจังหวัดต่างๆ ที่ได้รับความเดือดร้อนกว่า 12 จังหวัด พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงความห่วงใยที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 พระราชทานผ่านรัฐบาลว่า
“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหลวงรัชกาลที่ 10 ท่านทรงห่วงใยและกำชับมาทุกเรื่อง วันนี้ท่านได้พระราชทานความช่วยเหลือจากหน่วยงานในพระองค์ และในส่วนขององคมนตรีได้ลงมาตรวจเยี่ยมในจังหวัดที่มีความเดือดร้อนและมีการพูดคุยประสานกับรัฐบาลอยู่แล้ว เพื่อจะได้ช่วยกันในการที่จะนำความห่วงใยและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านลงมาถึงประชาชนด้วยผ่านช่องทางของรัฐบาลและของพระองค์ท่านเอง”
จากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์ถึงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่กระตุ้นรัฐบาลให้สนองตอบความเดือดร้อนของประชาชนอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
พระราชทานคำแนะนำแก่รัฐบาล
พระราชอำนาจในการพระราชทานคำแนะนำตักเตือนแก่รัฐบาลหรือรัฐมนตรี เป็นอีกหนึ่งพระราชอำนาจที่จะทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งในฝ่ายบริหารใช้อำนาจและปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของราษฎร โดยในโอกาสที่คณะรัฐมนตรีได้ทำการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ก็เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่รัฐมนตรีจะได้รับพระราชทานคำแนะนำต่างๆ
ดังเช่นที่ นายอุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนว่า
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่าอยากให้ ครม. ดูแลเรื่องความมั่นคง ซึ่งไม่ได้หมายถึงมิติการเมือง แต่เป็นทุกเรื่อง ทั้งความเป็นอยู่ อาหาร ความปลอดภัย ให้ประชาชนมีความสุข พระองค์ท่านพระราชทานคำแนะนำว่าต้องใช้ปัญญา”
พระราชอำนาจพระราชทานขวัญกำลังใจ
การปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการหลายๆ อย่างเป็นหน้าที่ที่ต้องอาศัยความพยายามและวิริยะอุตสาหะ ซึ่งผู้ที่เป็นข้าราชการน้ำดีที่นับวันจะหาได้ยากยิ่งในสังคมไทยย่อมไม่ง่ายนัก เสมือนดั่งการว่ายทวนกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว จนข้าราชการหลายคนเลือกจะถือตามสุภาษิต น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ จนทำให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อนจากการบริหารราชการแผ่นดินที่บกพร่อง ไร้ธรรมาภิบาล
แต่จากกรณีล่าสุดที่สังคมไทยได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของข้าราชการน้ำดีผู้มีบุคลิกความเป็นผู้นำจนได้รับการยกย่องในความสามารถและความซื่อสัตย์อย่าง ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ที่ได้แสดงผลงานเป็นที่ประจักษ์ในเหตุการณ์ 13 หมูป่านั้น ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร เพื่อพระราชทานคำชมเชยและให้กำลังใจ
การใช้พระราชอำนาจเพื่อพระราชทานขวัญกำลังใจดังกล่าวย่อมส่งผลให้ข้าราชการน้ำดีอีกมากมายมีกำลังใจที่จะยืนหยัดทัดทานต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ซึ่งท้ายสุดแล้ว การปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ หากทำอย่างซื่อตรง ถูกต้อง ก็ย่อมเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยในที่สุด
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาและที่จะเกิดขึ้นต่อไปในภายภาคหน้า พระราชอำนาจตามจารีตประเพณีของสถาบันกษัตริย์จะอยู่เคียงคู่กับรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยตลอดไป
พระมหากษัตริย์จะทรงผสานผูกพันเป็นเนื้อเดียวกันกับคนไทยทั้งชาติ เพราะทรงใช้พระราชอำนาจสนองประโยชน์แห่งมหาชนผ่านรัฐบาลเพื่อประโยชน์ของมหาชน ซึ่งเป็นไปตามหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
อ้างอิง:
- www.khaosod.co.th/breaking-news/news_194304
- www.matichonweekly.com/column/article_13129
- www.khaosod.co.th/lifestyle/news_1329681
- www.isranews.org/thaireform/thaireform-news/11729-2011-09-26-10-03-48.html
- www.prachachat.net/spinoff/entertainment/news-71748
- www.khaosod.co.th/breaking-news/news_1267265
- sites.google.com/site/tauw2491/sm45
- www.posttoday.com/social/think/490388