×

‘ไม่ใช่แค่รับมือ แต่ต้องเตรียมพร้อม’ ถอดบทเรียนน้ำท่วมประเทศไทย จากวัฒนธรรม ‘โบไซ’ ของญี่ปุ่น

02.12.2025
  • LOADING...
‘ไม่ใช่แค่รับมือ แต่ต้องเตรียมพร้อม’ ถอดบทเรียนน้ำท่วม ประเทศไทย จากวัฒนธรรม ‘โบไซ’ ของ ญี่ปุ่น

‘ไทยพร้อมมากแค่ไหน’ กลายเป็นคำถามใหญ่ในสังคมไทย จากมหาอุทกภัยในภาคใต้ ไม่ใช่แค่วิกฤตครั้งนี้สะท้อนผลกระทบจากภาวะโลกเดือด แต่ยังเผยให้เห็นช่องโหว่ระบบรับมือภัยพิบัติในประเทศ ตั้งแต่การเตือนภัยที่ล่าช้า แผนอพยพที่ไม่ชัดเจน ไปจนถึงเมืองที่ยังตั้งรับเหตุไม่คาดฝันได้ไม่ดีพอ

 

ท่ามกลางคำถามเรื่องความพร้อม THE STANDARD พาไปทำความรู้จักกับแนวคิดสำคัญของญี่ปุ่นอย่าง ‘โบไซ’ (Bosai) ที่ก้าวข้ามการรับมือวิกฤต แต่มองมุมกลับ คือ การเตรียมความพร้อมล่วงหน้า จากบทสัมภาษณ์ รศ.มิโฮ มาเซเรอูว์ (Miho Mazereeuw) ผู้อำนวยการฝ่ายภารกิจด้านสภาพภูมิอากาศของสถาบัน MIT (MIT Climate Mission Director) และ Urban Risk Lab ในงานเปิดตัวหนังสือ Design Before Disaster: Japan’s Culture of Preparedness ของเขา

 

โบไซคือกรอบคิดการรับมือภัยพิบัติแบบองค์รวม ที่ผสานการออกแบบเมือง ระบบชุมชน ไปจนถึงวัฒนธรรมและพฤติกรรมของผู้คนในชีวิตประจำวัน โดยเป้าหมายสูงสุดไม่ใช่แค่เพียงแก้ปัญหาเมื่อเกิดเหตุ แต่เป็นการสร้างสังคมที่ ‘เตรียมพร้อม’ ทุกเมื่อก่อนภัยพิบัติจะมา

 

THE STANDARD ชวนถอดบทเรียนจากญี่ปุ่น ประเทศที่ผ่านการเรียนรู้จากภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งอาจเป็นแบบอย่างให้ไทยสร้างระบบที่อยู่ร่วมกับวิกฤตได้จริง

 

‘โบไซ’ วัฒนธรรมแห่งญี่ปุ่นที่ยืดหยุ่นรับมือภัยพิบัติล่วงหน้า

 

หากพูดถึงการรับมือภัยพิบัติ หลายประเทศมักให้ความสำคัญกับการป้องกันและฟื้นฟู แต่สำหรับญี่ปุ่น รศ.มิโฮได้ฉายภาพให้เห็นว่า ดินแดนอาทิตย์อุทัยยึดมั่นในแนวคิดโบไซ หรือวัฒนธรรมที่เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติล่วงหน้าเป็นทุนเดิม

 

หากขยายเบื้องหลังของโบไซ โอโนะ ยูอิจิ (Ono Yuichi) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ภัยพิบัติ (IRIDeS) จากมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ให้นิยามความหมายของคำศัพท์นี้ในเว็บไซต์รัฐบาลญี่ปุ่นว่า โบไซมีความหมายกว้างมาก ตั้งแต่การป้องกัน การลดความรุนแรง ไปจนถึงการจัดการหลังเหตุการณ์และการฟื้นฟูภัยพิบัติ จนไม่มีคำใดในภาษาอังกฤษที่เทียบได้ตรงตัว โดยแก่นสำคัญคือความยืดหยุ่น และเน้นการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าในหลายมิติ

 

เมื่อถอดรหัสออกมา แนวคิดนี้คือการออกแบบเชิงคาดการณ์ล่วงหน้า (Anticipatory Design) หรือการออกแบบโดยคิดถึงอนาคตล่วงหน้า และหาหนทางรับมือตั้งแต่ปัจจุบัน ซึ่ง รศ.มิโฮ ระบุว่า ต้องมีหลักการ 5 อย่างควบคู่กันไป ได้แก่

 

1. การออกแบบจากบนลงล่าง – ล่างสู่บน (Top-down – Bottom-Up Placemaking) ซึ่งหมายความว่า การออกแบบรับมือภัยพิบัติไม่ใช่แค่การให้รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ ทำหน้าที่สั่งการหรือออกแบบเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัย ‘พลังของชุมชน’ ที่ขับเคลื่อนร่วมกัน เพื่อให้การทำงานไหลลื่นและมีประสิทธิภาพ

 

2. การบูรณาการระหว่างสังคมและพื้นที่ (Social and Spatial Integration) รศ.มิโฮย้ำว่า หลายครั้งที่พื้นที่หรือโครงสร้างรับมือภัยพิบัติไม่ได้ถูกใช้งานหรือทิ้งร้าง เพราะขาดมิติปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ทำให้ผู้คนไม่ได้เชื่อมโยงกับพื้นที่นั้น

 

3. การออกแบบที่ใช้ทั้งในชีวิตประจำวันและภัยพิบัติ (Everyday and Disaster Dual Use) คือการออกแบบสถานที่ที่ทำให้ผู้คนคุ้นเคย ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันและภัยพิบัติ ซึ่งมีผลต่อการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะประชาชนรู้วิธีใช้การและคุ้นเคยเป็นอย่างดี

 

4. การออกแบบผสานวิศวกรรมและระบบนิเวศ (Engineering and Ecology) รศ.มิโฮมองว่า หลายครั้งที่ทั้งสองแนวทางอาจขัดแย้งกันในการออกแบบ เช่น การสร้างเขื่อนที่อาจรบกวนระบบนิเวศธรรมชาติของชายฝั่ง แต่เธออยากให้ทุกคนมองวิธีที่ทำให้วิศวกรรมและธรรมชาติทำงานร่วมกันได้

 

5. การมองวงจรภัยพิบัติแบบองค์รวม (Holistic Disaster Cycle) แทนที่จะมองการป้องกัน การฟื้นฟู หรือการปรับตัวจากภัยพิบัติ แยกส่วนออกจากกัน รศ.มิโฮระบุว่า รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ควรมองทุกอย่างเป็นเรื่องเดียวกัน โดยต้องสื่อสารกันเพื่อรับมือฉุกเฉิน ฟื้นฟู และบรรเทาความเสี่ยง เพื่อให้ทุกขั้นตอนเชื่อมต่อเป็นระบบเดียว

 

สำหรับตัวอย่างและกรณีศึกษาการออกแบบภายใต้วัฒนธรรมโบไซของญี่ปุ่น รศ.มิโฮ ได้หยิบยกสิ่งก่อสร้างและสถานที่ ซึ่งเป็นการออกแบบที่ใช้ได้ทั้งในชีวิตประจำวันและภัยพิบัติ เช่น วาจู (Waju) หรือ ระบบคันดินป้องกันน้ำท่วมรอบหมู่บ้านและพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งสร้างขึ้นโดยชาวนายุคเอโดะในปี 1953 บริเวณคิโซซันเซน (Kiso Sansen) หรืออุทยานแห่งชาติ ที่กินพื้นที่จังหวัดไอจิ กิฟุ และมิเอะ โดยมีแม่น้ำ 3 สายบรรจบกัน

 

ความสำคัญของวาจู คือช่วยปกป้องชุมชนจากภัยน้ำท่วม และสามารถใช้การได้ในชีวิตประจำวันไปพร้อมกัน เช่น การมีฟังก์ชันปล่อยน้ำไหลเข้ามาเพื่อช่วยทำการเกษตรพื้นที่โดยรอบ ขณะที่ตัวบ้านถูกออกแบบรับมือกับน้ำท่วม เช่น มีเรือเล็กฉุกเฉินใต้ชายคาบ้าน หรือห้องใต้หลังคาที่เก็บศาลบูชาบรรพบุรุษขึ้นที่สูง เมื่อเกิดอุทกภัย

 

นอกจากนี้ รศ.มิโฮยังยกตัวอย่างสถาปัตยกรรมอื่นๆ อย่างโรงแรมอิมพีเรียล (อาคารหลังเก่า) ในโตเกียว โดยเธอมีโอกาสได้ศึกษางานของ แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ (Frank Lloyd Wright) สถาปนิกชาวอเมริกันชื่อดัง และผู้ออกแบบโรงแรมนี้ ซึ่งพบว่า เขาได้วางระบบ ‘อ่างเก็บน้ำ’ กลางอาคารในโรงแรม เพื่อใช้ดับไฟในกรณีฉุกเฉิน ขณะที่โครงสร้างอาคารเองถูกออกแบบให้ทนต่อแรงสั่นสะเทือน และมีความยืดหยุ่นถึงขั้นที่ทำระบบให้ท่อไม่ติดผนัง อีกทั้งยังมีการบุกเบิกใช้ครัวไฟฟ้าในยุคนั้น ถือว่ามีความแปลกใหม่มาก

 

อย่างไรก็ดี เธอระบุว่า สิ่งสำคัญกว่าโครงสร้าง คือบุคลากรอย่าง ‘พนักงานโรงแรม’ ที่มีทักษะจัดการผู้คนได้ดีมาก โดยทำงานผสมผสานกับระบบของโรงแรมที่รับมือกับภัยพิบัติเป็นทุนเดิม เช่น เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว โรงแรมก็ได้เปิดพื้นที่ให้ผู้คนบริเวณรอบเข้ามาหลบภัย

 

น่าสนใจว่า แนวคิดดังกล่าวยังถูกสืบทอดมาที่การจัดการโรงแรมอิมพีเรียลแห่งใหม่ ซึ่งมีการฝึกซ้อมรับมือภัยพิบัติเป็นประจำ และรับมือเหตุการณ์ได้จริง เช่น เหตุแผ่นดินไหวญี่ปุ่นในปี 2011 โรงแรมได้ให้ความช่วยเหลือผู้คน เช่น เป็นที่พักชั่วคราว และร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อใช้อาคารเป็นพื้นที่รับมือฉุกเฉิน

 

มิโฮยังอธิบายต่อว่า ทุกจุดในญี่ปุ่น ตั้งแต่โรงเรียน สวนสาธารณะ หรือสวนหย่อมขนาดเล็ก มีฟังก์ชันรับมือภัยพิบัติซ่อนไว้อยู่ ซึ่งสามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อเกิดภัยพิบัติ ลานบาร์บีคิวกลายเป็นจุดทำอาหารฉุกเฉิน หรือโรงเรียนเป็นศูนย์อพยพชั่วคราว ขณะที่บุคลากรอย่างผู้ดูแลสถานที่ก็ผ่านการอบรมรับมือภัยพิบัติเป็นอย่างดี

 

“ทุก 1 ดอลลาร์ที่ลงทุนในระบบรับมือภัยพิบัติวันนี้ สามารถช่วยหลีกเลี่ยงความสูญเสียทางเศรษฐกิจในอนาคตได้มากที่สุดถึง 33 ดอลลาร์ และที่สำคัญคือช่วยชีวิตผู้คนได้ด้วย” รศ.มิโฮ ทิ้งท้าย​ว่า การรับมือภัยพิบัติไม่ใช่แค่ช่วยชีวิตผู้คน แต่ยังช่วยรับมือความสูญเสียทางเศรษฐกิจได้ด้วย

 

จากญี่ปุ่นสู่หาดใหญ่ โจทย์ใหญ่ประเทศไทย กับการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ

 

THE STANDARD ได้สัมภาษณ์ รศ.มิโฮ รวมถึง พริม-พิมพกานต์ รัตนาธรรมวัฒน์ นักวิจัย MIT Urban Risk Lab และ ผู้ร่วมก่อตั้ง Collective Resilience Network และ พิม-พิชชาภา จุฬา นักวิจัย MIT Urban Risk Lab ถึงสถานการณ์มหาอุทกภัยในหาดใหญ่ สู่โจทย์ใหญ่ของประเทศไทย กับการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ

 

รศ.มิโฮ วิเคราะห์ภาพรวมสถานการณ์ปัจจุบันว่า ขณะนี้ ภัยพิบัติในภาคใต้ประเมินได้ยาก เพราะเหตุการณ์ยังดำเนินอยู่ ทว่าความตระหนัก การเตรียมพร้อมรับมือ และการสื่อสารเชิงระบบเป็นเรื่องสำคัญมาก พร้อมกับย้ำว่า สิ่งที่สำคัญกว่าการปกป้องทรัพย์สิน คือ การปกป้องชีวิต ซึ่งบางครั้งต้องแยก 2 เรื่องนี้ออกจากกัน เพื่อทำให้การอพยพเกิดขึ้นได้เร็วที่สุด

 

“แม้ว่า ขณะนั้นภัยพิบัติอาจจะดูไม่รุนแรง แต่เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ก็ควรมีการอพยพไว้ก่อน ฉันคิดว่า เรื่องความปลอดภัยในชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ และการตระหนักรู้ร่วมกันว่า เหตุการณ์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนจาก ‘เลวร้าย’ เป็น ‘ร้ายแรง’ ได้อย่างรวดเร็วมาก

 

“ต่อให้ตอนนี้เหตุการณ์ดูไม่หนักหนา แต่ในอีก 1 ชั่วโมง หรือ 6 ชั่วโมงข้างหน้า เราไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉะนั้น การปกป้องชีวิตและครอบครัวต้องมาก่อน ส่วนเรื่องทรัพย์สินค่อยว่ากันทีหลัง และต้องมีการสื่อสารชัดเจนในประเด็นนี้ด้วย”

 

ด้านพิมพกานต์ระบุว่า ภัยพิบัติจากหาดใหญ่คือภาพสะท้อนว่า ประเทศไทยยังขาดแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน และยังไม่มี ‘ผู้รับผิดชอบหลัก’ ที่จะออกมาบอกให้ทุกคนรู้ว่า ต้องทำอะไรเป็นขั้นตอนอย่างไร แม้กระทั่งเรื่องข้อมูลพื้นฐาน เช่น การแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบว่า ต้องอพยพไปตรงไหน

 

ขณะที่หากมองในการจัดการเมืองก็เชื่อมโยงกับประเด็นสิ่งแวดล้อม เพราะเมืองกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วมาก จนคนไม่อาจทันสังเกตว่า ไทยกำลังสูญเสียพื้นที่สีเขียว ซึ่งสำหรับกรณีพื้นที่หาดใหญ่ แม้จะตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขา แต่เมื่อฝนตกหนัก น้ำก็ไหลทะลักเข้าเมืองอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีต้นไม้ดูดซับน้ำและป้องกัน โดยเธอทิ้งท้ายว่า อยากให้ทุกคนตระหนัก เตรียมพร้อม และสร้างแผนรับมือระยะยาวจากเหตุการณ์นี้

 

สำหรับคำถามที่ว่า ไทยถอดบทเรียนจากวัฒนธรรมของญี่ปุ่นได้อย่างไรบ้าง รศ.มิโฮ อธิบายว่า ในทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติ จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ทุกคนต้อง ‘เรียนรู้’ ความท้าทายใหม่ๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากการออกแบบเมือง ชุมชน โครงสร้างพื้นฐานด้านสังคม หรือแม้แต่ปัจจัยร่วมที่ทำให้สถานการณ์จากน้ำท่วมเล็กๆ แปรเปลี่ยนเป็นภัยพิบัติรุนแรงได้

 

“เราต้องลงมือทำบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันเชิงนโยบาย การขับเคลื่อนโดยกลุ่มชุมชนต่อโครงสร้าง การให้ความรู้ หรือการออกแบบเชิงระบบ เพราะมีหลายวิธีที่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้

 

“แต่ที่สำคัญคือ เราไม่ควรปล่อยให้ภัยพิบัติผ่านไปเฉยๆ แล้วทำทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ควรหาหนทางที่จะเรียนรู้จากมันจริงๆ” มิโฮทิ้งท้ายโดยระบุว่า จากกรณีศึกษาของญี่ปุ่นที่เธอได้ฉายภาพให้เห็น เป็นบทเรียนว่า ทุกภัยพิบัติมักเกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายตามมา ซึ่งนี่คือโอกาสแห่งการเรียนรู้

 

ขณะที่พิชชาภาระบุว่า บทเรียนที่ไทยได้จากญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่การสร้างความตระหนักรู้ แต่เป็นเรื่องของ ‘โครงสร้างเชิงสังคม’ ที่การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติต้องกลายเป็นวัฒนธรรม ซึ่งฝังรากลึกอยู่ในชีวิตของผู้คน

 

“ดังนั้น เวลาเราพูดเรื่องวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น มันไม่ใช่เรื่องการบังคับให้คนเชื่อหรือยอมรับ แต่นี่เป็นส่วนหนึ่งของวิธีคิดของพวกเขาไปแล้ว

 

“เราคิดว่า คำตอบสำคัญคือ ‘การศึกษา’ ตั้งแต่เริ่มต้น อย่างการปลูกฝังเยาวชน คนที่จะเป็นอนาคตของสังคม นี่คือสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้และนำไปปรับใช้ได้ เพราะหลายอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เหมือนเป็นการประเมินรับมือความเสี่ยงย้อนหลังส่วนใหญ่”

 

พิชชาภายังทิ้งท้ายว่า ไทยควรเรียนรู้จากญี่ปุ่นว่า เขาฝังวัฒนธรรมนี้ไปในสังคมอย่างไร และสิ่งที่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้นกับสังคมไทย คือ คนรุ่นถัดไปต้องอยู่กับกรอบแนวคิดเดิมๆ ที่ล้าสมัย ซึ่งการศึกษาและการปลูกฝังแนวคิดการเตรียมพร้อม คือประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยควรนำไปคิดต่อ

 

ภาพ: WEERAPONG NARONGKUL / Reuters

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising