×

สรุปมาตรการลดภาษีหนุน HEV รอบใหม่ พร้อมปรับเงื่อนไขขยายเวลาผลิตชดเชย EV 3.0 – ไป EV 3.5 สกัดภาวะรถยนต์ล้นตลาด เบรกสงครามราคา

05.12.2024
  • LOADING...
ภาษี HEV

บอร์ด EV เคาะมาตรการลดภาษีสรรพสามิตกลุ่ม HEV-MHEV ย้ำไทยต้องเป็นศูนย์กลางผลิตและส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกทุกเซ็กเมนต์ พร้อมขยายเวลาการผลิตชดเชยรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าตามมาตรการ EV 3.0 ให้ยกยอดไป EV 3.5 แต่ไม่ให้เงินอุดหนุนจนกว่าจะผลิตชดเชยตามมาตรการเดิมครบถ้วน ป้องกันภาวะรถยนต์ล้นตลาด และพยุงสถานการณ์อุตสาหกรรมรถยนต์ภายในประเทศ 

 

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด EV ซึ่งมี แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบมาตรการ 2 เรื่องสำคัญ คือ 

 

  1. มาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับผลิตรถยนต์ Hybrid (HEV) และ Mild Hybrid (MHEV) 

 

  1. การขยายเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการ EV 3.0 โดยให้สามารถโอนไปผลิตชดเชยตามเงื่อนไขมาตรการ EV 3.5 และระงับการให้เงินอุดหนุนจนกว่าจะผลิตชดเชยได้ครบถ้วน โดยทั้ง 2 มาตรการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาสมดุลการแข่งขัน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนทั้งระบบ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น ‘ศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกในทุกประเภท’ ในระยะยาว

 

สำหรับมาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า บอร์ด EV เห็นชอบการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารขนาดที่นั่งไม่เกิน 10 คน แบบ HEV และ MHEV ซึ่งผลิตในประเทศ 

 

  1. มาตรการสนับสนุนรถยนต์ HEV กำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราคงที่ ตั้งแต่เริ่มใช้โครงสร้างภาษีใหม่ เป็นเวลา 7 ปี (ปี 2569-2575) ตามมติบอร์ด EV เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 โดยมีอัตราและเงื่อนไขการลงทุน ดังนี้

 

    • ต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูงสุดไม่เกิน 120 g/km 

 

      • การปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 6 
      • การปล่อย CO2 ตั้งแต่ 101-120 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 9 

 

    • ต้องมีการลงทุนในไทยเพิ่มเติมโดยผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทในเครือไม่น้อยกว่า 3 พันล้านบาท ระหว่างปี 2567-2570 

 

    •  ต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศตั้งแต่ปี 2569 และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ ตั้งแต่ปี 2571 โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กรณีลงทุนเพิ่มเติม 3 พันล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่ถึง 5 พันล้านบาท จะต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่มีมูลค่าสูงทั้ง 3 ชิ้นเท่านั้น ได้แก่ Traction Motor, Reduction Gear และ Inverter แต่หากลงทุนเพิ่มเติมตั้งแต่ 5 พันล้านบาทขึ้นไป สามารถเลือกใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่มีมูลค่าสูงร่วมกับกลุ่มมูลค่าปานกลางได้ เช่น BMS, DCU และ Regenerative Braking System 

 

    • ต้องติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS) อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ ดังนี้ ระบบเบรกฉุกเฉินขั้นสูง, ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบดูแลภายในช่องจราจร, ระบบเตือนการออกหรือเปลี่ยนช่องจราจร, ระบบตรวจจับจุดบอด และระบบควบคุมความเร็ว

 

  1. มาตรการสนับสนุนรถยนต์ MHEV ซึ่งเป็นรถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า โดยมีแรงดันไฟฟ้าในการขับเคลื่อนต่ำกว่า 60 โวลต์ และอาศัยเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการผลิตในระดับโลก บอร์ด EV กำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราคงที่ ตั้งแต่เริ่มใช้โครงสร้างภาษีใหม่ เป็นเวลา 7 ปี (ปี 2569-2575) โดยมีอัตราและเงื่อนไขการลงทุน ดังนี้

 

    • ต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูงสุดไม่เกิน 120 g/km 

 

      • การปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 10 
      • การปล่อย CO2 ตั้งแต่ 101-120 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 12 

 

    • ต้องมีการลงทุนในไทยเพิ่มเติมโดยผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทในเครือไม่น้อยกว่า 1 พันล้านบาท ระหว่างปี 2567-2569 และไม่น้อยกว่า 5 พันล้านบาท ระหว่างปี 2567-2571 

 

    • ต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศตั้งแต่ปี 2569 และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญ ได้แก่ Traction Motor หรือชิ้นส่วนที่มีลักษณะการทำงานเพื่อเสริมแรงขับเคลื่อน ตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไป

 

    • ต้องติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS) อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ เช่นเดียวกับเงื่อนไขของ HEV 

 

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) บอร์ด EV พิจารณาเรื่อง ‘การขยายเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการ EV 3.0’ ซึ่งเป็นข้อเสนอจากกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้พิจารณาขยายเวลาเงื่อนไขการผลิตชดเชยสำหรับผู้ผลิตที่ได้รับเงินสนับสนุนตามมาตรการ EV 3.0 ซึ่งเดิมกำหนดว่าต้องผลิตให้ครบถ้วนตามสัญญาภายในปี 2567-2568 เนื่องจากยอดขายของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศอยู่ในภาวะหดตัว จากปัญหาความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค 

 

ปรับปรุงเงื่อนไขมาตรการ EV 3.0 ป้องกันอุปทานล้นตลาด เบรกสงครามราคา

 

ทั้งนี้ ที่ประชุมหารือข้อเสนอดังกล่าว โดยพิจารณาสถานการณ์ตลาดรถยนต์ของไทยในปัจจุบันที่อาจมีความเสี่ยงจากภาวะอุปทานล้นตลาด (Oversupply) ซึ่งอาจนำไปสู่สงครามราคาที่รุนแรงมากขึ้น และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ บอร์ด EV จึงมีมติให้ปรับปรุงเงื่อนไขมาตรการ EV 3.0 ที่เดิมกำหนดให้ต้องผลิตรถยนต์เพื่อชดเชยการนำเข้าในอัตราส่วน 1:1 เท่า (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 1 คัน) ภายในปี 2567 หรือ 1:1.5 เท่า ภายในปี 2568 โดยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายเวลาผลิตชดเชยตามมาตรการ EV 3.0 ไปผลิตชดเชยภายใต้เงื่อนไขของมาตรการ EV 3.5 ได้ (ผลิตชดเชย 2 เท่า ภายในปี 2569 หรือ 3 เท่า ภายในปี 2570) 

 

“รถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการขยายเวลาข้างต้นจะไม่ได้รับเงินอุดหนุน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าในส่วนที่นำเข้าหรือผลิตภายใต้มาตรการ EV 3.5 ก็จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนเช่นเดียวกัน จนกว่าจะผลิตชดเชยได้ครบตามจำนวนที่ได้รับสิทธิขยายเวลา และอนุญาตให้นำรถยนต์สำเร็จรูป (CBU) ที่นำเข้าภายใต้ EV 3.0 ที่ยังไม่จำหน่าย ส่งออกไปต่างประเทศโดยไม่นับเป็นยอดที่ผลิตชดเชย”

 

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังพิจารณาข้อเสนอการขอขยายเวลาการผ่อนผันให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการเสรี ซึ่งต้องใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศมากกว่า 40% สามารถนับมูลค่าเซลล์แบตเตอรี่ที่นำเข้าจากต่างประเทศเป็นมูลค่าของชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 15 จากเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 2568 เป็นสิ้นสุดในปี 2570 โดยบอร์ด EV มีมติไม่อนุมัติให้ขยายเวลามาตรการดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการเร่งให้เกิดการผลิตและใช้ชิ้นส่วนในประเทศ และนโยบายเร่งดึงดูดให้เกิดการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ในประเทศไทย 

 

ทั้งนี้ ล่าสุด BOI อนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุนโครงการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งการผลิตรถยนต์ BEV แบตเตอรี่ และชิ้นส่วนสำคัญ รวมทั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมเงินลงทุนกว่า 8.1 หมื่นล้านบาท ในส่วนของมาตรการ EV 3.0 และ EV 3.5 โดยกรมสรรพสามิต มีผู้เข้าร่วมมาตรการจำนวน 26 บริษัท คิดเป็นจำนวนยานยนต์ทุกประเภทรวมกันกว่า 133,000 คัน สำหรับยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ในช่วง 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม 2567) มีจำนวน 59,746 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียน 21,657 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ภาพ: The Villa Studio / Getty Images

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X