“ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมรู้สึกว่าประตูเห็นโอกาสเริ่มเปิดออก ไม่ใช่เพราะว่ามีใครคนไหนเข้ามา แต่เพราะว่าทุกคนไม่ทน”
นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด ได้กล่าวปิดงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 โดยสะท้อนว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า ‘ประตูเห็นโอกาสเริ่มเปิดออก’ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มักจบลงด้วยคำถามว่าโจทย์และปัญหาที่พูดคุยกันจะถูกแก้ไขอย่างไร แต่ปีนี้แตกต่างออกไป เพราะ ‘Action จริงๆ’ ได้ปรากฎขึ้นให้เราเห็น
🟡 ภาพอนาคตที่เห็นตรงกัน
นครินทร์ชี้ว่า วันนี้ภาพอนาคตของประเทศไทยชัดเจนมาก ทั้งจากมุมมองต่างประเทศและในประเทศ ผู้นำเอกชน ภาครัฐ หรือคนรุ่นใหม่ ต่างพูดในทิศทางเดียวกัน โดยสรุปได้เป็น 2 เรื่องหลัก
1. จุดยืนในเวทีโลก ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจเล็กและเปิด เหมือนเรือกลางทะเล จึงต้องพึ่งพาเวทีโลก วันนี้ทุกคนมองตรงกันว่าเรามีโอกาสจาก จุดยืนที่เป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Neutral Position) ซึ่งทั้งจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาก็มองเห็น โจทย์คือ เราจะใช้ประโยชน์จากจุดนี้อย่างไร ทำอย่างไรให้เป็น Creative balancer สร้าง ‘Connectivity Hub’ และเร่งสนธิสัญญาการค้า (FTA) ให้เกิดขึ้นจริง
2. ห้าอุตสาหกรรม DNA แห่งโอกาส มีความเห็นพ้องต้องกันอย่างไม่น่าเชื่อว่า 5 อุตสาหกรรมนี้คือศักยภาพที่ไทยมีจุดแข็ง มีพื้นฐาน และมีซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง ได้แก่:
🔸Advanced & Green Manufacturing: เช่น ยานยนต์, ชิป (ในบางส่วนของ supply chain) และอิเล็กทรอนิกส์
🔸Agri & Food: แม้เราจะเป็นผู้ส่งออกเกษตรรายใหญ่และเป็น ‘ครัวของโลก’ แต่ความสามารถในการแข่งขันลดลง ยังมีโจทย์อีกมากที่ต้องยกระดับ
🔸Tourism: เราเคยทำได้ถึง 40 ล้านคน แต่โจทย์ต่อไปคือความยั่งยืน (sustainability) และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (wellness)
🔸Creative & Digital Service: เรามีซีรีส์วาย, มีน้องลิซ่า มีความคิดสร้างสรรค์ที่ภูมิภาคยอมรับ รวมถึงบริการดิจิทัลที่ทำได้ดี
🔸Medical Hub: ทั้งความเก่งของหมอไทยและราคาที่เข้าถึงได้ ทำให้คนทั่วโลกอยากบินมารักษา
โดยทั้งหมดนี้ มี AI เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ
⚙️ จากพิมพ์เขียวสู่การลงมือทำ
นครินทร์เน้นว่า หลายภาคส่วนเริ่มเสนอกลยุทธ์ที่จับต้องได้ ไม่ใช่แค่การพูดคุยในภาพกว้างอีกต่อไป
🔸AI: ต้องเน้นเรื่อง Productivity และเจาะจงในอุตสาหกรรมที่เราถนัด เช่น การแพทย์ หรือการสร้าง Small Language Model ที่ใช้จุดแข็งเฉพาะทางของไทย เช่น โรคเขตร้อน หรือพืชเกษตร
🔸เกษตรและอาหาร: ต้องยกระดับสู่ Global Standard, สร้าง Value Creation และมีแบรนด์ ต้องมองเรื่อง ‘Green’ ที่ EU กำลังจะบังคับใช้ ให้เป็น ‘โอกาส’ ในการเติบโต ไม่ใช่ต้นทุน
🔸ท่องเที่ยว: ต้องนำการวิจัยทางการแพทย์มารองรับจุดแข็ง เช่น การนวด หรือยาดม และตั้งเป้าไปที่นักท่องเที่ยวรายได้สูง
แต่สิ่งสำคัญคือ ทุกภาคส่วนต้องมี Action Plan โดยมีบทบาทที่ชัดเจน
🔸รัฐบาล: ต้องเป็น ‘Lighthouse’ หรือคนให้แนวทาง และปลดล็อกอุปสรรค
🔸เอกชน: เป็นคนขับเคลื่อนและลงทุน
🔸ภาควิชาการและสตาร์ทอัพ: ต้องสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีของตัวเอง นำงานวิจัยจาก ‘หิ้ง’ ลงมาสู่ ‘ห้าง’
🔸ภาคการเงิน: เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุน
🔸ภาคประชาสังคม: ช่วยตรวจสอบและถ่วงดุลให้ผลประโยชน์ตกถึงชุมชน
🔸คนรุ่นใหม่: ต้องรับฟังเสียงของเขาและร่วมสร้างด้วยกัน
ที่สำคัญคือ การ ‘ลงมือทำ’ ได้เริ่มขึ้นแล้ว นครินทร์ยกตัวอย่าง กกร.หรือ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันที่ไม่รอการเมือง แต่จับมือกับหน่วยงานรัฐสร้างแพลตฟอร์มต่างๆ ขึ้นมา เพราะพวกเขา ‘ไม่ทน’ กับคอร์รัปชันและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง และ ‘เบื่อ’ กับการเปลี่ยนแปลงไปมาตลอด 20 ปี
ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาด Leadership และ Political Will หรือความกล้าหาญทางการเมือง ที่มีจริยธรรม และเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน นี่คือกับดักที่ประเทศไทยติดอยู่มา 20 ปี
ในฐานะสื่อมวลชน เขารู้สึกว่าช่วงเวลานี้คือ ‘ประตูบานเล็กๆ ที่ค่อยๆ เปิดออก’ แต่ประตูบานนี้ไม่ได้เปิดเพราะใครมาเปิดให้ แต่เพราะประชาชนทุกฝ่ายไม่ทนกับปัญหาอีกต่อไปแล้ว
“เพราะว่า การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มักเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงที่เล็กที่สุดเสมอ”


