วันนี้ (15 พฤศจิกายน) นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกี่ยวกับพัฒนาการล่าสุดเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทยกับกัมพูชา รวมถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาแจ้งขอ ‘ระงับ’ การเจรจาภาษีการค้ากับไทยชั่วคราว จนกว่าฝ่ายไทยให้คำมั่นว่า จะกลับเข้าสู่ Joint Declaration ไทย-กัมพูชา อีกครั้ง
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเผยว่า เมื่อค่ำของเมื่อวานนี้ (14 พฤศจิกายน) ได้มีการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมีสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมรับฟังการสนทนาครั้งนี้ด้วย
ทรัมป์ได้สอบถามถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาล่าสุด โดยนายกรัฐมนตรีได้ใช้โอกาสนี้ในการอัปเดตกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ และย้ำว่าทั้ง 2 ฝ่ายพึงที่จะต้องปฏิบัติตามถ้อยแถลงที่เห็นชอบร่วมกัน เพื่อนำไปสู่สันติภาพ อย่างไรก็ดี ไทยมีความเสียใจที่กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงของทั้ง 2 ฝ่ายก่อน โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องทุ่นระเบิด ที่ทั้งไทยและกัมพูชาเห็นชอบที่จะเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ยังตกค้างตามแนวชายแดน รวมถึงการไม่ติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่เพิ่มเติม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ฝ่ายกัมพูชายังคงบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริง ด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ท่านได้เดินทางไปตรวจสถานการณ์สถานที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง และก็สามารถยืนยันได้ว่า มีการลักลอบติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ ส่งผลให้ทหารไทยที่ลาดตระเวนตามปกติได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องสูญเสียขา นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้เชิญคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนลงพื้นที่เมื่อวานนี้ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย
ส่วนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความคาดหวังของไทยที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่า ‘ไทยยังคงยึดมั่นในสันติภาพ’ แต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ต้องยอมรับข้อเท็จจริงและแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงมีมาตรการป้องกันเหตุการณ์ลักษณะนี้อีกในอนาคต ดังนั้น การเดินหน้าต่อจึงขึ้นอยู่กับท่าทีของกัมพูชาด้วยเป็นสำคัญ
ที่สำคัญที่สุดคือจะต้องเปิดพื้นที่จำนวน 13 แห่งที่เคยหารือกันไว้แล้ว ให้ฝ่ายไทยได้ดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดโดยไม่ขัดขวางการปฏิบัติการดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนของทั้ง 2 ฝ่าย
โฆษกฯ ยังเผยอีกว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รับฟังอย่างเข้าใจ และรับที่จะไปพูดคุยกับฝ่ายกัมพูชาในเรื่องนี้ และย้ำว่าทางสหรัฐฯ และมาเลเซียพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนให้ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถเดินหน้าในกระบวนการสันติภาพได้ ในส่วนของทรัมป์ก็ได้ย้ำว่า ตนมิได้ประสงค์ที่จะแทรกแซงการแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 ประเทศตามกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมากสำหรับประเทศไทย นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไทยมุ่งมั่นในแนวทางสู่สันติภาพ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันก็จำเป็นต้องสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย
ส่วนประเด็นที่ 2 คือ การหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หลังจากที่ได้หารือกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรียังได้โทรศัพท์หารือกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อประสานข้อมูลที่ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งผู้นำมาเลเซียได้แสดงความเข้าใจในฐานะที่มาเลเซียเป็นประธานอาเซียน พร้อมตอบรับที่จะไปช่วยหาแนวทางที่จะให้กระบวนการสันติภาพเดินหน้าต่อไปได้ โดยคำนึงถึงข้อเสนอของฝ่ายไทย ในการนี้นายกรัฐมนตรีได้แจ้งต่ออันวาร์ อิบราฮิมว่า ไทยได้เน้นย้ำกับสหรัฐฯ ด้วยว่า การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นหัวใจสำคัญของข้อตกลง ที่ปรากฏในปฏิญญาร่วม ดังนั้น ทั้งสหรัฐฯ และมาเลเซียรับทราบประเด็นที่ไทยให้ความสำคัญ ประเด็นที่เป็นหัวใจของข้อเรียกร้องของไทยคือ เรื่องประเด็นทุ่นระเบิด
ส่วนประเด็นสุดท้าย เรื่องการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ฝ่ายไทยได้รับแจ้งจากรองผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ว่า ฝ่ายสหรัฐฯ ขอ ‘ระงับการเจรจา’ กรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ (Agreement on Reciprocal Trade Framework) เป็นการชั่วคราวและจะสามารถกลับมาเจรจาความตกลงดังกล่าวได้อีกครั้ง เมื่อฝ่ายไทยได้ให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตาม Joint Declaration และหวังว่าจะสามารถหาทางออกในเรื่องนี้ได้โดยเร็ว
ไทยมีความผิดหวังในท่าทีจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ โดยไทยได้ยืนยันมาโดยตลอดว่า ประเด็นเรื่องความมั่นคงและความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่เป็นประเด็นทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา ต้องพิจารณาแยกออกจากประเด็นการค้า ซึ่งก็เป็นประเด็นทวิภาคีที่เป็นผลประโยชน์ร่วมระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เองก็ได้ย้ำกับนายกรัฐมนตรีในการหารือทางโทรศัพท์เมื่อคืนนี้ว่า สหรัฐฯ มิได้ประสงค์จะแทรกแซงการแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 ประเทศตามกลไกทวิภาคีที่มีอยู่
โฆษกฯ ยังขอย้ำว่า สำหรับประเทศไทย ประเด็นการค้าระหว่างประเทศและมาตรการทางภาษีของประเทศที่ 3 เป็นเรื่องนโยบายทางเศรษฐกิจ ที่จะมีการพิจารณาโดยรอบคอบ ในกรอบความร่วมมือทางการค้าและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศคู่เจรจาเป็นสำคัญ โดยรัฐบาลยังคงมีนโยบายขยายโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) การเปิดตลาดใหม่ๆ การเข้าร่วมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกของไทย ทั้งนี้ ไทยยังคงยินดีและตระหนักในบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนให้ไทยและกัมพูชาลดระดับความตึงเครียดระหว่างกัน เพื่อนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน ตามที่ปรากฏในการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีอนุทิน กับประธานาธิบดีทรัมป์ โดยไทยจะเดินหน้าบนผลประโยชน์ของประเทศไทยเป็นสำคัญที่มุ่งสู่สันติภาพ
ภาพ: กระทรวงการต่างประเทศ
อ้างอิง:
- กระทรวงการต่างประเทศ


