เที่ยงคืนในกรุงเทพฯ เมืองกำลังหลับใหล แต่ในศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่ง ‘ประเทศไทยอีกใบ’ กลับตื่นอยู่ตลอดเวลา
ในโลกเสมือนนี้ มีผู้คนดิจิทัลนับล้านที่ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์จริง คุยกับเพื่อน ทำงาน ช้อปปิ้ง และแสดงความคิดเห็นต่อข่าวสารบ้านเมือง ข้อมูลจากพฤติกรรมเหล่านี้กำลังถูกใช้เพื่อช่วยให้นักวิจัยเข้าใจว่า ‘คนไทยจริงๆ’ คิดและตัดสินใจอย่างไร
นี่คือโลกของ Agent Simulation เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์รูปแบบใหม่ที่ไม่ได้แค่ ‘ตอบคำถาม’ แต่ ‘คิด วางแผน และตัดสินใจ’ ได้ด้วยตัวเอง สิ่งที่ทำให้แนวคิดนี้น่าตื่นเต้น คือ มันพยายามสร้างแบบจำลองของมนุษย์ หรือที่เรียกว่า ‘Digital Twin’ ที่สะท้อนวิธีคิดและพฤติกรรมของเราอย่างใกล้เคียงที่สุด
จากแนวคิดเชิงเทคนิค สู่การเปลี่ยนแปลงเชิงสังคมจริงๆ
ไม่กี่ปีก่อน ‘AI Agent’ ยังหมายถึงบอตในคอลล์เซ็นเตอร์ที่ตอบคำถามซ้ำๆ แต่วันนี้ มันกลายเป็นเครื่องมือระดับมหภาคที่ใช้ทำความเข้าใจสังคมทั้งหมด ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเคยสร้างตัวแทนดิจิทัลของคนจริงกว่าพันคน จากข้อมูลการสัมภาษณ์และแบบสอบถาม แล้วเปรียบเทียบคำตอบของ AI Agent กับเจ้าของตัวจริง ผลปรากฏว่าตรงกันถึง 85% ซึ่งใกล้เคียงกับระดับความต่างของความคิดของคนเดียวกันเมื่อทดสอบซ้ำในเวลาต่อมา
บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง OpenAI, Google, Anthropic และ Meta ต่างเร่งพัฒนา ‘Agentic Systems’ ที่ไม่ได้รอคำสั่งจากมนุษย์ แต่สามารถ ‘ลงมือคิดและทำ’ ได้เอง พวกเขามองว่านี่คือก้าวต่อไปของการเข้าใจมนุษย์ในสังคมทั้งหมด
แล้วถ้าเทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้กับประเทศของเรา จะเกิดอะไรขึ้น
ลองจินตนาการว่า ก่อนรัฐบาลจะประกาศนโยบายใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเงินกู้เพื่อการศึกษา ราคาน้ำมัน หรือโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ นโยบายนั้นสามารถ ‘ทดสอบล่วงหน้า’ ได้ในโลกจำลองของประเทศไทย โลกที่มีประชากรดิจิทัลกว่าเจ็ดสิบล้านคน สะท้อนข้อมูลจากชีวิตจริง ทั้งรายได้ การศึกษา ความคิดเห็นทางสังคมและพฤติกรรมการใช้จ่าย
ผลลัพธ์ที่ได้ช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายมองเห็นผลกระทบต่อประชาชนแต่ละกลุ่มก่อนจะเกิดขึ้นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องแล็บวันนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการทดลองของนักวิจัย แต่คือภาพจำลองของอนาคตที่ใกล้กว่าที่คิด
งานวิจัย Generative Agents (Stanford, 2023) เคยสร้างเมืองจำลองขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยตัวละคร AI ซึ่งมีบุคลิกและความทรงจำของตัวเอง เมื่อปล่อยให้โต้ตอบกันอย่างอิสระ พวกเขากลับ ‘ใช้ชีวิต’ เหมือนมนุษย์จริง ตั้งวงคุยกัน สร้างมิตรภาพ และจัดงานวันวาเลนไทน์ขึ้นเองโดยไม่มีมนุษย์สั่ง
จากแนวคิดในเมืองจำลอง สู่เครื่องมือกำหนดอนาคตในโลกจริง
เมืองต่างๆ อาจใช้ Agent Simulation เพื่อจำลองปัญหาการจราจรหรือวิเคราะห์ความต้องการที่อยู่อาศัย นักเศรษฐศาสตร์สามารถสร้างแบบจำลองเพื่อศึกษาผลกระทบของภาษีใหม่ นักวิจัยด้านสาธารณสุขอาจคาดการณ์ว่าผู้คนจะตอบสนองต่อมาตรการสุขภาพหรือแคมเปญรณรงค์อย่างไร และในภาคเอกชน นักการตลาดสามารถทดสอบกลยุทธ์กับ ‘ลูกค้าจำลอง’ เพื่อคาดการณ์ปฏิกิริยาต่อสินค้าและราคาก่อนเปิดตัวจริง
แต่ในขณะที่เทคโนโลยีขยับเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากขึ้น คำถามใหม่ๆ ก็เริ่มตามมา ถ้าตัวตนของคุณถูกจำลองขึ้นในระบบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ใครคือเจ้าของ ‘คุณอีกคน’ ข้อมูลนั้นสามารถถูกใช้เพื่อวางนโยบายโดยไม่ขออนุญาตได้ไหม และถ้าโลกจำลองนี้คือกระจกสะท้อนของสังคมจริง เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ‘กระจกบานนั้น’ สะท้อนความเป็นมนุษย์ครบทุกแง่มุม
คำตอบหนึ่งอาจอยู่ในแนวทางขององค์กรที่เลือกใช้เทคโนโลยีนี้อย่างมีความรับผิดชอบ
ที่ SCBX แนวคิด Agent Simulation ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือแทนมนุษย์ แต่เป็นวิธีใหม่ในการ ‘เข้าใจมนุษย์ให้ลึกกว่าเดิม’ เพราะการจำลองพฤติกรรมของผู้คน ไม่เพียงช่วยให้องค์กรตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น แต่ยังเปิดโอกาสให้เสียงของประชาชน ‘ถูกได้ยิน’ แม้ไม่ได้อยู่ในห้องประชุม
และบางที สิ่งสำคัญอาจไม่ใช่ว่าเราจะสร้างโลกใหม่ได้แค่ไหน แต่คือเราจะ ‘มองเห็น’ ตัวเองจากโลกนั้นได้ชัดแค่ไหน ท้ายที่สุดแล้ว Agent Simulation อาจไม่ใช่เทคโนโลยีที่สร้างโลกใหม่ แต่มันคือ ‘กระจก’ ที่สะท้อนให้เราเห็นตัวเองชัดขึ้น ก่อนที่การตัดสินใจของเราจะสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา ทั้งในโลกจริง และในโลกอีกใบที่ไม่มีใครรู้ว่ามีอยู่ และในวันหนึ่งข้างหน้า ก่อนที่กฎหมาย นโยบาย หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ใดๆ จะถูกเปิดตัว การทดลองครั้งแรกของมัน… อาจไม่ได้เกิดขึ้นในโลกจริง แต่ใน ‘โลก Digital Twin ของประเทศไทย’ ที่เต็มไปด้วยผู้คนจำลองนับล้าน ซึ่งคิด รู้สึก และมีชีวิตเหมือนเรา


