วานนี้ (5 ตุลาคม) นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เนื่องจากช่วงนี้มีฝนตกหนักและมีน้ำท่วมขังหลายพื้นที่ ซึ่งน้ำที่ท่วมไหลผ่านอาจไม่ใช่แหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย แต่เป็นน้ำที่ท่วมขังตามภาชนะต่างๆ หรือตกค้างอยู่ตามเศษขยะ กาบใบไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำ ยุงลาย เป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออกได้
ขณะนี้เริ่มมีพื้นที่บางแห่งที่บ้านถูกน้ำท่วม ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ จำเป็นต้องไปอาศัยอยู่ในที่ที่มีการจัดหาให้ซึ่งอยู่สูงกว่า และมักจะอยู่อาศัยรวมกันหลายๆ ครอบครัว หรือบางครอบครัวอาจต้องไปอาศัยตามถนนเส้นหลักที่น้ำยังท่วมไม่ถึง เพื่อให้อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ซึ่งเหตุเหล่านี้อาจทำให้ประชาชนเสี่ยงต่อการถูกยุงลายกัด จึงขอแนะนำให้ใช้ยาทากันยุงทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะยุงลายชอบกัดเวลากลางวันมากกว่ากลางคืน รวมทั้งเน้นย้ำว่าต้องปิดฝาภาชนะใส่น้ำให้มิดชิด เพื่อป้องกันยุงลายลงไปวางไข่ ป้องกันวงจรการเกิดเป็นยุงตัวเต็มวัยมากัดรบกวน ซึ่งอาจมีทั้งเชื้อโรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา หรือโรคไข้ปวดข้อยุงลาย
สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 28 กันยายน 2565 พบผู้ป่วยไข้เลือดออกจำนวน 26,286 ราย เสียชีวิต 19 ราย ในสัปดาห์ที่ผ่านมาพบผู้เสียชีวิต 3 ราย เป็นผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคืออายุ 5-14 ปี รองลงมาคืออายุ 15-24 ปี และเด็กแรกเกิด – 4 ปี จังหวัดที่มีจำนวนผู้ป่วยสูงในช่วงเดือนที่ผ่านมา ได้แก่ กรุงเทพฯ, แม่ฮ่องสอน, ชลบุรี, เชียงใหม่ และตาก โรคไข้เลือดออกพบได้ในทุกช่วงอายุ
แต่ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตนั้นส่วนมากพบในกลุ่มผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน, เบาหวาน, โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, โรคตับ, โรคไต, ภาวะติดสุราเรื้อรัง หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน โดยปัจจัยเสี่ยงที่คล้ายกันในผู้เสียชีวิตทั้งเด็กและผู้ใหญ่คือ เดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลช้า หรือผู้ป่วยบางรายปฏิเสธการรักษาตัวในโรงพยาบาล คิดว่าโรคไข้เลือดออกมีอาการไม่รุนแรง จึงทำให้ได้รับการรักษาที่ล่าช้า ส่งผลให้มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้
นพ.ธเรศ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการของโรคไข้เลือดออกจะมีไข้สูงเฉียบพลันและไข้สูงลอยประมาณ 2-7 วัน ร่วมกับปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยตามตัว, หน้าแดง, อาจมีจุดแดงเล็กๆ ขึ้นตามลำตัว แขน และขา, คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดท้อง และเบื่ออาหาร ในรายที่รุนแรงอาจมีการอาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด หรือมักเป็นสีดำ ต่อมาไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว ในระยะนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ เนื่องจากปัจจุบันไข้เลือดออกยังไม่มียารักษา
จึงขอแนะนำให้ประชาชนสังเกตอาการป่วยของตนเองหรือคนในครอบครัว หากมีไข้สูงลอยเกิน 2 วัน และเช็ดตัวหรือกินยาลดไข้แล้วไข้ไม่ลดลง ขอให้คิดว่าอาจป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก ไม่ควรซื้อยาลดไข้ในกลุ่ม NSAIDs ไอบูโพรเฟน ยาชุด ไดโครฟีแนก แอสไพริน ซึ่งมีผลทำให้เลือดออกในทางเดินอาหาร เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ และให้รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์หรือสถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้าน เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัย ประเมินอาการ และการดูแลรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว
สำหรับการป้องกันโรคไข้เลือดออกนั้นขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันลดจำนวนยุงลาย โดยปฏิบัติตามมาตรการ 3 เก็บ คือ
- เก็บบ้านให้สะอาด ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในบ้านและรอบบ้านให้มีความเป็นระเบียบ แสงแดดส่องเข้าถึง ไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุง
- เก็บขยะบริเวณรอบบ้าน ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
- เก็บน้ำ ปิดฝาภาชนะที่ใส่น้ำให้มิดชิด จัดการภาชนะไม่ให้มีน้ำขัง เปลี่ยนน้ำในแจกันทุกสัปดาห์ ป้องกันยุงลายมาวางไข่
ส่วนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ขอให้ป้องกันตนเองไม่ให้ยุงกัด โดยการทายากันยุง นอนในมุ้ง มีมุ้งลวด ใช้ยาจุดกันยุง และใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว เป็นต้น