ท่ามกลางสภาพแวดล้อมโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากระเบียบโลกใหม่ที่เกิดขึ้น ได้เร่งให้การลงทุนทั่วโลกต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการลงทุนเพื่อรับมือกับความเสี่ยงและโอกาส
ระเบียบโลกใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้ ‘ทรัมป์ 2.0’ ประกอบกับการใช้นโยบายกีดกันทางการค้า (Protectionism) ของหลายประเทศได้สร้างแรงกดดันและเร่งให้นักลงทุนทั่วโลกต้องปรับกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งการประกาศนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจเร่งให้เกิด 4 กระแสการลงทุนของโลก ได้แก่
- Moving to the US : การลงทุนมีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐฯ เพื่อลดภาระภาษีนำเข้าทั้งจากบริษัทของสหรัฐฯ ที่ย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ บริษัทข้ามชาติที่ต้องการขยายตลาดในสหรัฐฯ และการลงทุนของประเทศพันธมิตรภายใต้ข้อตกลงทวิภาคีแลกเปลี่ยนกับการลดอัตราภาษีตอบโต้
- Global Competitive Relocation : เงินลงทุนมีแนวโน้มไหลเข้าประเทศที่ได้เปรียบทางการแข่งขันโดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นประเทศภายใต้ข้อตกลงการค้า USMCA และประเทศที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ ในอัตราที่ต่ำ
- From China to Others : การลงทุนจากจีนกระจายไปประเทศอื่นเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น
- Reshoring/Nearshoring to home country : การกลับมาลงทุนในประเทศหรือในภูมิภาค เพื่อเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจผ่านมาตรการจูงใจที่ทยอยออกมาเพื่อสนับสนุนการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศหรือภูมิภาค
นอกจากนี้ แนวโน้มการลงทุนยังเน้น Strategic Investment Focus : การลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคตที่เชื่อมโยงเมกะเทรนด์ด้านดิจิทัลและความยั่งยืนมากขึ้น เช่น โครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ การผลิตขั้นสูง Data center เซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงพลังงานสะอาด
แม้นโยบายภาษีของสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในไทย แต่ในภาพรวมกระแสการลงทุนจากต่างประเทศยังไหลเข้าไทยต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เริ่มพบการเปลี่ยนแปลงในการลงทุนจากต่างประเทศทั้งในด้านแหล่งเงินทุน กลุ่มอุตสาหกรรม และรูปแบบของโครงการที่เข้ามา
ในภาพรวม นักลงทุนต่างชาติยังสนใจเข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่องจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2025 ที่ยังเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 4.70 แสนล้านบาท และเริ่มชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 มาอยู่ที่ 2.47 แสนล้านบาทจากมูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลที่ลดลงหลังขยายตัวสูงในช่วงก่อนหน้า
โดยในภาพรวม การขอรับการส่งเสริมการลงทุนส่วนใหญ่ยังกระจุกที่อุตสาหกรรมดิจิทัล เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงโลหะและวัสดุ โดยสิงคโปร์เป็นแหล่งเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยสูงสุด ตามด้วย จีน-ฮ่องกง และญี่ปุ่น ซึ่งแม้การลงทุนจากต่างประเทศจะยังเข้ามาไทยต่อเนื่อง แต่เริ่มเห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ในด้านแหล่งเงินทุน สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
- กลุ่มที่ชะลอการลงทุนเพื่อประเมินสถานการณ์ จากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่ลดลงจากเดิมที่เคยขยายตัวต่อเนื่อง
- กลุ่มที่การลงทุนลดลงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายของประเทศต้นทางที่ต้องการดึงการลงทุนกลับประเทศ
- กลุ่มที่ยังเติบโตดี ชี้ให้เห็นถึงการวางบทบาทไทยในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญของภูมิภาค
นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนการลงทุนจากประเทศในยุโรปขยายตัวสูงขึ้น อีกทั้ง การลงทุนจากประเทศตะวันออกกลางยังเข้ามาไทยต่อเนื่องและมูลค่าการลงทุนขยายตัวสูงอย่างก้าวกระโดด
ในด้านอุตสาหกรรม การลงทุนจากต่างประเทศขยายไปสู่กิจการย่อยที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมากขึ้นทั้งเทคโนโลยีขั้นสูงและดิจิทัล, EV Ecosystem และอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับเทรนด์อนาคต นอกจากนี้ ยังเริ่มเห็นการลงทุนในบางอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว อาทิ เหล็กสำหรับงานก่อสร้าง และโซลาร์เซลล์ จากการปรับลดหรือยกเลิกสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนของ BOI เพื่อบริหารความเสี่ยงจากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และสอดรับกับกติกาด้านความยั่งยืนที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น
ในด้านรูปแบบโครงการ มีแนวโน้มเปลี่ยนไปสู่โครงการขนาดเล็กมากขึ้น คาดว่าเป็นการลงทุนเพื่อเชื่อมต่อ Supply chain ในไทยหรือในอาเซียนที่มีความแข็งแกร่ง รวมถึงการเข้ามาลงทุนตามผู้ผลิตรายใหญ่ที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยในช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนมูลค่าการลงทุนในโครงการใหม่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 78% จากค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ที่เพียง 34% บ่งชี้ว่าไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและยังคงรักษาระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ไทยสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในโครงการใหม่ได้มากขึ้น
ในระยะข้างหน้า คาดว่าการลงทุนจากต่างประเทศในไทยจะยังมีโอกาสขยายตัวตามทิศทางการค้าโลกที่มีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับการดำเนินมาตรการเชิงรุกของ BOI ในการรักษาฐานนักลงทุนเดิมควบคู่กับการดึงแหล่งเงินทุนใหม่ อีกทั้ง ภาครัฐยังส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตสอดคล้องกับทิศทางการลงทุนโลก
อย่างไรก็ตาม ไทยยังต้องเผชิญกับแรงกดดันหลายด้านในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้การลงทุนจากต่างประเทศในไทยยังมีโอกาสขยายตัว แต่เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนแล้ว ไทยยังตามหลังหลายประเทศ
โดยการแข่งขันในภูมิภาคเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะจากฐานเงินทุนสำคัญอย่างจีนและสิงคโปร์ ซึ่งที่ผ่านมา มูลค่าการอนุมัติการลงทุนจากต่างประเทศของไทยยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านทั้งอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนาม อีกทั้ง สัดส่วนการลงทุนจากต่างประเทศต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (FDI ต่อ GDP) ในปี 2024 ของไทยอยู่ที่เพียง 2.7% ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค
สอดคล้องกับข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ระบุว่า สัดส่วนการลงทุนรวมทั้งจากในและต่างประเทศต่อ GDP ในปี 2024 ของไทยอยู่ในระดับต่ำสุดในภูมิภาคที่ 22% และอาจลดลงอีกใน 5 ปีข้างหน้า สะท้อนว่าไทยยังมีข้อจำกัดในการสร้างแรงขับเคลื่อนการลงทุนทั้งจากในและต่างประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
การดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ซึ่งไทยต้องเร่งปรับตัวและยกระดับศักยภาพการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายจากการสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศที่ยังอยู่ในระดับต่ำและพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2025 มูลค่าการนำเข้าจากจีนขยายตัวสูงถึง 133% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงปี 2015 – 2019 ขณะที่ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ยังทรงตัวใกล้ระดับเฉลี่ยในอดีต สะท้อนถึงการลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามายังเชื่อมโยงกับผู้ผลิตในประเทศได้ไม่มาก
นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงจากมาตรการ Transshipment ของสหรัฐฯ ซึ่งยังไม่ชัดเจนและมีโอกาสกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของกลุ่มที่จะเข้ามาลงทุนเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ อีกทั้ง ปัจจัยเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ยังคงเป็นข้อจำกัดต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ทั้งโครงสร้างการผลิตที่กระจุกตัวในอุตสาหกรรมกลาง-ปลายน้ำ ผลิตภาพแรงงานที่เติบโตช้ากว่าประเทศคู่แข่ง การพัฒนาแรงงานทักษะเทคโนโลยีขั้นสูงที่ยังไม่ทันต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และต้นทุนพลังงานที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมขั้นสูงได้
อย่างไรก็ดี นโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทยยังมีศักยภาพดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ดี แต่จำเป็นต้องทบทวนต่อเนื่องเพื่อพร้อมรับโอกาสและความท้าทายของการลงทุนโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยควรต้องเร่งปรับตัวยกระดับสู่การเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมยุคใหม่
เมื่อเปรียบเทียบนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทยกับประเทศอาเซียนอย่าง อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนามแล้ว ไทยยังมีจุดแข็งสำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการตั้งฐานการผลิตขั้นสูง อย่างไรก็ตาม ประเทศในอาเซียนก็มีจุดแข็งเฉพาะตัว เช่น เวียดนามที่มีความได้เปรียบ
ด้านข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ครอบคลุมกว่า 60 ประเทศ หรืออินโดนีเซียที่มีทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญต่อระบบนิเวศ
ยานยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น ไทยต้องเร่งเสริมความได้เปรียบและต่อยอดจุดแข็งอย่างต่อเนื่อง เช่น การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถยกระดับสู่ห่วงโซ่การผลิตใหม่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานและดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาแรงงานทักษะสูงเพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมขั้นสูงที่จะเข้ามาลงทุนในไทย
มากขึ้น อีกทั้ง ภาครัฐอาจพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อลดอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และให้ทันต่อบริบทของเศรษฐกิจและรูปแบบธุรกิจที่เปลี่ยนไป ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัวยกระดับสู่การเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมยุคใหม่ ได้แก่
- การยกระดับการผลิตผ่านการลงทุนด้านเทคโนโลยีทั้งระบบอัตโนมัติ และใช้ข้อมูลเพื่อปรับระบบการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงพร้อมทั้งลดต้นทุนให้สามารถแข่งขันได้
- ปรับบทบาททางธุรกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลทั้งในด้านคุณภาพและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการต่อยอดการผลิตสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต
- สร้างพันธมิตรกับผู้ผลิตต่างชาติ ผ่านการร่วมมือด้านเทคโนโลยี การพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วม และโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ๆ


