×

ถาม-ตอบประเด็นกฎหมาย กรณีเขตอ้างสิทธิทับซ้อนไทย-กัมพูชา

12.12.2024
  • LOADING...
อ้างสิทธิทับซ้อนไทย-กัมพูชา

จากประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการอ้างสิทธิทับซ้อนไทย-กัมพูชา ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และกฎหมายระหว่างประเทศ ผู้เขียนจึงรวบรวมข้อมูลในรูปแบบคำถามที่พบบ่อย เพื่อทำความเข้าใจในแต่ละประเด็นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


บทความโดย ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทะเล

 

Q: การอ้างสิทธิทับซ้อนเกิดขึ้นเมื่อไร

A: ในปี 1972 รัฐบาล นายพลลอน นอล ของกัมพูชา ประกาศเขตไหล่ทวีป และอ้างสิทธิเหนือไหล่ทวีปในอ่าวไทย นอกชายฝั่งกัมพูชา โดยเส้นเหนือสุดเริ่มจากพรมแดนไทย-กัมพูชาที่หลัก 73 ลากไปทางทิศตะวันตกผ่านเกาะกูด ต่อไปทางทิศตะวันตกจนถึงประมาณกลางอ่าวไทย จึงหักลงทิศใต้ ดิ่งลงแนวใต้ และเบนไปทางทิศตะวันออกเล็กน้อย 

 

ในปี 1973 ไทยจึงประท้วงไม่เห็นด้วยกับแนวเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา และประกาศเขตไหล่ทวีปของไทย โดยตามหลักกระบวนการตามกฎหมายไทยแล้ว การดำเนินการประกาศแนวเขตไหล่ทวีปจะต้องทำเป็นประกาศในลักษณะของประกาศพระบรมราชโองการ โดยประกาศเขตของไทยเริ่มจากพรมแดนไทย-กัมพูชาที่หลัก 73 จุดเดียวกัน แต่ฝ่ายไทยคำนึงว่า เนื่องจากเกาะกูด ซึ่งเป็นดินแดนไทย ต้องมีเขตทะเลอาณาเขต (12 ไมล์ทะเล) และเขตไหล่ทวีปของตนเอง เส้นด้านบนของไทยจึงทแยงลงทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จนมาถึงประมาณกลางอ่าวไทย แล้วจึงหักลงทางทิศใต้ เกิดเป็นพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกับของกัมพูชา

 

การอ้างสิทธิเช่นนี้ เกิดขึ้นทั่วไปในโลก นั่นคือ รัฐชายฝั่งทั้งปวงย่อมต้องพยายามอ้างพื้นที่แบบที่เป็น Maximum Claim คือพยายามให้ได้เยอะสูงสุดไว้ก่อน อีกฝ่ายก็ต้องประท้วง แล้วประกาศอ้างสิทธิในพื้นที่ที่ตนเองก็อ้างให้มากสูงสุด (Maximum) ไว้ก่อนเช่นเดียวกัน เมื่อฝ่ายหลังดำเนินการบ้าง ฝ่ายแรกก็จะประท้วง และสองฝ่ายจึงต้องมาเจรจาหาข้อยุติ เพื่อตกลงปักปันเขตแดน ที่จะต้องมีได้ มีเสีย ขยับเข้า ขยับออก หรือถ้าตกลงกันไม่ได้ก็อาจต้องตั้งอนุญาโตตุลาการ หรือยื่นเรื่องให้ศาลโลกช่วยพิจารณาให้ ซึ่งทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาประกาศเขตของตนในแบบ Maximum Claim

 

Q: เพราะเหตุใดทั้งสองประเทศจึงอ้างสิทธิไหล่ทวีปในปี 1972 และ 1973

A: เป็นผลมาจากอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป 1958 บัญญัติให้รัฐชายฝั่งสามารถอ้างเขตไหล่ทวีปของตนเองในพื้นที่ที่เป็นผืนดินใต้ทะเลที่ต่อเนื่องมาจากเขตทะเลอาณาเขต จนถึงบริเวณที่มีความลึกไม่เกิน 200 เมตร โดยให้รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตที่อยู่บนพื้นผิวดินและใต้ดินของไหล่ทวีป และออกกฎหมายเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรเหล่านั้นได้

 

หากชายฝั่งสองรัฐ หรือมากกว่าสองรัฐ มีแนวชายฝั่งที่ประชิดกันหรือตรงข้ามกัน ทำให้มีพื้นที่ไหล่ทวีปพื้นที่เดียวกันที่เชื่อมต่อกันระหว่างรัฐทั้งสอง หรือมากกว่าสองรัฐนั้น ให้รัฐชายฝั่งที่แนวชายฝั่งประชิดหรือตรงข้ามทำความตกลงปักปันเขตไหล่ทวีประหว่างกัน หากไม่สามารถหาวิธีตกลงกันได้ และไม่มีเหตุสภาวะพิเศษอื่นๆ ให้ใช้เส้นมัธยะที่วัดจากพิกัดแนวชายฝั่งที่มีระยะเท่าๆ กันเป็นเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีประหว่างกัน กรณีไทย-กัมพูชาก็เข้าลักษณะนี้

 

Q: ชายฝั่งไทย-กัมพูชา เป็นชายฝั่งประชิดหรือตรงข้าม

A: พรมแดนด้านตะวันออกของไทยเป็นแนวชายฝั่งแบบประชิดกับแนวชายฝั่งของกัมพูชา

 

แต่ขณะเดียวกันชายฝั่งตะวันออกของแนวฝั่งภาคใต้ของไทยมีสถานะเป็นแนวชายฝั่งแบบตรงข้ามกับกัมพูชา โครงสร้างแนวธรณีวิทยาของไหล่ทวีปในอ่าวไทยถือได้ว่าเป็นพื้นที่ไหล่ทวีปพื้นที่เดียวกันที่เชื่อมต่อกันระหว่างสองรัฐ ที่ทั้งประชิดและตรงข้ามกัน

 

ขณะเดียวกันชายฝั่งของไทยและกัมพูชาก็มีเกาะหลายเกาะ ซึ่งตามหลักกฎหมายทะเล เกาะที่สามารถดำรงชีวิตทางเศรษฐกิจได้จะมีทั้งทะเลอาณาเขตและไหล่ทวีปของตนเอง ซึ่งอาจถือเหตุสภาวะพิเศษอื่นๆ ของทั้งสองประเทศได้ในการเจรจาทำความตกลงปักปันเขตไหล่ทวีป

 

Q: ในทางกฎหมายทะเล ทะเลอาณาเขต และไหล่ทวีป ต่างกันอย่างไร

A: ภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายทะเล ทั้งหลักจารีตประเพณีและตามสนธิสัญญา (หรืออนุสัญญา) ทะเลอาณาเขตถือเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน (Territory) ของรัฐชายฝั่งทุกรัฐ เป็นเขตอำนาจอธิปไตย (Sovereignty) ในเขตทะเลอาณาเขต รัฐสามารถออกกฎหมายได้ทุกเรื่องเพื่อใช้บังคับในเขตทะเลอาณาเขตของตนเอง ยกเว้นกฎหมายที่กระทบสิทธิผ่านโดยสุจริตของเรือต่างชาติ กฎหมายระหว่างประเทศไม่เคยกำหนดว่าทะเลอาณาเขตมีความกว้างจากชายฝั่งเท่าใดแน่ จนกระทั่งมีอนุสัญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล 1982 (UNCLOS 1982) จึงบัญญัติให้รัฐชายฝั่งสามารถมีทะเลอาณาเขตได้ไม่เกิน 12 ไมล์ทะเลวัดจากเส้นฐานชายฝั่ง

 

ส่วนไหล่ทวีป กฎหมายมิได้บัญญัติให้เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของรัฐชายฝั่งหรือเป็นเขตอำนาจอธิปไตยของรัฐ เพียงแต่บัญญัติให้รัฐชายฝั่งสามารถสำรวจและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในเขตไหล่ทวีปของตน ซึ่งเป็นเขตผืนดินที่ต่อเนื่องออกมาจากทะเลอาณาเขต และเพื่อสามารถออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการสำรวจและใช้ประโยชน์นี้ได้ จึงบัญญัติให้เรียกสิทธินี้ว่า สิทธิอธิปไตย (Sovereign Rights) เพื่อให้ชัดเจนว่าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของดินแดนของรัฐ (Territory) และไม่ใช่เขตอำนาจอธิปไตย (Sovereignty) ภายใต้บทบัญญัติแห่งอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป 1958 ไม่ได้กำหนดความกว้างของไหล่ไว้ แต่กำหนดว่าต้องเป็นส่วนต่อเนื่องมาจากทะเลอาณาเขต และมีความลึกไม่เกิน 200 เมตร ต่อมาภายใต้อนุสัญญา UNCLOS 1982 จึงกำหนดให้มีความกว้าง 200 ไมล์ทะเล วัดจากเส้นฐานชายฝั่งที่ใช้วัดทะเลอาณาเขต

 

Q: เขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือ EEZ คืออะไร เกี่ยวอะไรกับไหล่ทวีป

A: เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone: EEZ) เป็นเขตที่ไม่เคยมีในหลักกฎหมายทะเลมาก่อน เพิ่งมาบัญญัติให้มีขึ้นภายใต้อนุสัญญา UNCLOS 1982 เพื่อให้รัฐชายฝั่งสามารถใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากทรัพยากรธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ในพื้นน้ำและผืนดินใต้พื้นน้ำไม่เกิน 200 ไมล์ทะเล จากเส้นฐานที่ใช้วัดทะเลอาณาเขต เป็นสิทธิเฉพาะ (จำเพาะ – Exclusive) ของรัฐชายฝั่ง และเพื่อให้รัฐชายฝั่งสามารถออกกฎหมายเพื่อบริหารจัดการกับการใช้ทรัพยากรในเขตพื้นที่นี้ได้ จึงเรียกสิทธินี้ว่า สิทธิอธิปไตย (Sovereign Rights) เช่นเดียวกับในกรณีของสิทธิในไหล่ทวีป แต่เนื่องจากสิทธินี้เป็นสิทธิที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น รัฐชายฝั่งจีงไม่ได้เป็นเจ้าของห้วงน้ำหรือพื้นน้ำในเขต EEZ และกฎหมายกำหนดให้นำบทบัญญัติว่าด้วยทะเลหลวง (High Seas) อันเป็นพื้นที่ทะเลสากล มาใช้ในพื้นน้ำหรือห้วงน้ำใน EEZ โดยอนุโลม

 

เมื่อมีการบัญญัติหลักการว่าด้วย EEZ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ 200 ไมล์ทะเล ที่รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยในทรัพยากรธรรมชาติ เหมือนกันกับในไหล่ทวีป ก็หมายความว่าเขต EEZ จะกลายเป็นเขตเดียวกับไหล่ทวีปของรัฐชายฝั่งนั่นเอง (ยกเว้นกรณีพิเศษตามกฎหมายที่ไหล่ทวีปอาจกว้างไปกว่า 200 ไมล์ทะเลได้) 

 

Q: ปัญหาอ้างสิทธิทับซ้อนไหล่ทวีปกับกัมพูชา เป็นเรื่องของเขตดินแดนและเขตอำนาจอธิปไตยไทยหรือไม่

A: เนื่องจากไหล่ทวีปไม่ใช่เขตดินแดนของรัฐ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศจึงไม่ใช่ประเด็นการได้มาหรือสูญเสียอำนาจอธิปไตยแต่อย่างใด หากแต่เป็นประเด็นการใช้สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น

 

Q: ภายใต้ UNCLOS 1982 มีการกำหนดการปักปันเขตไหล่ทวีปและ EEZ ไว้อย่างไร

A: เนื่องจากภายใต้ UNCLOS 1982 ไหล่ทวีปและ EEZ กลายเป็นเขตทางทะเลที่มีความกว้างได้ถึง 200 ไมล์ทะเล ซึ่งจะเป็นอาณาบริเวณที่อาจกว้างใหญ่มากมายกว่าที่เคยกำหนดไว้ในคำนิยาม ไหล่ทวีปในอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป 1958 อีกทั้งรัฐที่มีชายฝั่งประชิดและตรงข้ามที่พยายามเจรจาทำความตกลงปักปันเขตไหล่ทวีประหว่างกัน โดยใช้แนวทางตามบทบัญญัติข้อ 6 แห่งอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป 1958 ที่มีการกล่าวถึงการใช้เส้นมัธยะในการปักปันเขตไหล่ทวีปแล้วยากจะตกลงกันได้ และยิ่งไปกว่านั้น กรณีพิพาทระหว่างเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และเดนมาร์ก ในการพยายามตกลงแบ่งเขตไหล่ทวีประหว่างกันในทะเลเหนือ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จนต้องร้องเป็นคดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก (ICJ) วินิจฉัย ที่เรียกกันว่า North Sea Continental Shelf Cases 1969 และกลายเป็นคำวินิจฉัยของ ICJ ที่มีผลต่อการพัฒนาเปลี่ยนแปลงหลักกฎหมายทะเลว่าด้วยไหล่ทวีปเป็นอย่างยิ่ง ทำให้หลักกฎหมายว่าด้วยการปักปันเขตไหล่ทวีปและ EEZ ภายใต้บทบัญญัติแห่ง UNCLOS 1982 แตกต่างไปจากหลักการในอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป 1958

 

ICJ วินิจฉัยว่า หากรัฐชายฝั่งที่มีชายฝั่งประชิดหรือตรงข้ามกัน อ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปของตนเองทับซ้อนกัน หลักของกฎหมายระหว่างประเทศคือ รัฐที่อ้างพื้นที่ทับซ้อนกันนั้นต้องไปเจรจากันด้วยสันติวิธีจนสามารถบรรลุความตกลงปักปันเขตไหล่ทวีปที่เป็นธรรมระหว่างกันและกันได้ ส่วนจะใช้วิธีการลากเส้นปักปันแบ่งเขตเช่นไรนั้น ต้องขึ้นกับรัฐคู่กรณีว่าจะเห็นว่าลากเส้นอย่างไรจึงจะเป็นธรรมด้วยกันทั้งสองฝ่าย เส้นมัธยะเป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่อาจเลือกนำไปใช้ได้ แต่มิใช่เป็นหลักกฎหมาย

 

ด้วยเหตุนี้ บทบัญญัติใน UNCLOS 1982 ในเรื่องการปักปันเขตไหล่ทวีปและ EEZ ระหว่างรัฐชายฝั่งที่มีแนวชายฝั่งประชิดหรือตรงข้ามกัน จึงบัญญัติแต่เพียงให้รัฐที่ประชิดหรือตรงข้ามกันดำเนินการบรรลุความตกลงระหว่างกันที่มีผลเป็นธรรมกับรัฐคู่กรณี โดยให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศตามที่ระบุในข้อ 38 แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

 

Q: เพราะเหตุใดจึงมีการพูดถึงการใช้ประโยชน์ร่วมกันในพื้นที่ที่มีการอ้างสิทธิทับซ้อนในไหล่ทวีป และมีหลักกฎหมายเกี่ยวข้องอย่างไร

A: นับตั้งแต่รัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซียตกลงกันในหลักการเมื่อปี 1978 ว่า ในเมื่อทั้งสองประเทศอ้างสิทธิทับซ้อนในไหล่ทวีปบริเวณทางตอนล่างของอ่าวไทย และไม่สามารถตกลงปักปันเขตไหล่ทวีปกันได้ ทั้งสองประเทศก็ตกลงที่จะร่วมกันพัฒนาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันในเขตพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันนั้น เรียกว่าเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area: JDA) ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมล้ำหน้ากว่ากฎหมาย ด้วย ณ เวลานั้น ยังไม่เคยมีหลักกฎหมายกล่าวถึงเรื่องนี้ และไทย-มาเลเซียก็เป็นประเทศคู่พิพาทเขตอ้างสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อนคู่แรกๆ ของโลกที่หาทางออกโดยสันติวิธีด้วยวิธีนี้

 

นับแต่นั้นมา ประเทศคู่กรณีที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันก็นำวิธีการนี้ไปใช้ คือตกลงกันในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน ในระหว่างที่ยังคงเจรจาหาข้อยุติเพื่อบรรลุความตกลงในการปักปันแบ่งเขตไหล่ทวีปไม่ได้ โดยระบุชัดเจนในความตกลงใช้ทรัพยากรร่วมกันว่าจะต้องไม่เป็นผลกระทบกับการประกาศอ้างสิทธิของประเทศคู่กรณี คือไม่รอนการอ้างสิทธิ และไม่เพิ่มการอ้างสิทธิจากที่เป็นอยู่ และไม่ได้แปลว่าเป็นการยอมรับหรือไม่ยอมรับการอ้างสิทธิของอีกฝ่ายหนึ่ง

 

วิธีการนี้ต่อมาได้กลายเป็นวิธีที่รัฐหลายคู่กรณีเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการนำมาใช้แก้ปัญหา เนื่องจากเขตไหล่ทวีปเป็นเขตให้รัฐสามารถนำเอาทรัพยากรมาใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ หากนำมาใช้ประโยชน์ไม่ได้จะมีไหล่ทวีปไปทำไม และหากไหล่ทวีปไม่มีทรัพยากรให้รัฐได้ใช้ประโยชน์แล้ว รัฐก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมีไหล่ทวีป เพราะกฎหมายมิได้ให้สิทธิทำอะไรกับผืนดิน ให้สิทธิแค่กับทรัพยากรบนผืนดินและใต้ผืนดินเท่านั้น วิธีการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันระหว่างรัฐคู่พิพาทในการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปเช่นนี้ทวีจำนวนมากขึ้น จนนักวิชาการกฎหมายทะเลนำมาเขียนบทความและหนังสือมากมาย

 

ในที่สุด UNCLOS 1982 เอง จึงได้นำมาบัญญัติ ไว้ภายใต้คำว่า ‘Provisional Arrangements’ (การดำเนินการมาตรการชั่วคราว) ในข้อ 74 วรรคสาม และ 83 วรรคสาม ว่าด้วยการปักปันเขต EEZ และไหล่ทวีป ว่าระหว่างที่รัฐยังเจรจาบรรลุความตกลงที่เป็นธรรมกับทั้งคู่ยังไม่ได้ รัฐสามารถดำเนินการที่เป็นมาตรการชั่วคราวระหว่างกันในพื้นที่ที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันนั้น (ในรูปแบบต่างๆ) และมาตรการที่ดำเนินการนั้นจะไม่มีผลกระทบไม่ว่าในทางใดต่อผลของความตกลงที่บรรลุได้ในที่สุด

 

Q: MOU 44 ยกเลิกได้หรือไม่

A: มีสองประเด็นเกี่ยวข้อง คือ 1. MOU 44 มีสถานะเป็นความตกลงระหว่างประเทศหรือไม่ และ 2. ถ้ายกเลิกต้องทำอย่างไร

 

  1. แม้ภายใต้กฎหมายไทย การทำ MOU กันจะไม่ถือเป็นนิติกรรมสัญญา แต่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ความตกลงระหว่างประเทศ มีหลักการใหญ่ๆ สองหลักคือ (1) ต้องเป็นลายลักษณ์อักษรทำขึ้นระหว่างรัฐ (2) รัฐที่เกี่ยวข้องมีเจตนารมณ์ประสงค์ให้เป็นความตกลงภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าความตกลงนั้นจะเรียกชื่อว่าอะไรก็ตาม ฉะนั้นเมื่อตอนที่ทำ MOU กัน ไทยกับกัมพูชามีประสงค์จะให้เป็นความตกลงภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ ถ้าเป็น ก็แปลว่าต้องการให้ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาปฏิบัติตามพันธะใน MOU 

 

  1. ถ้าเป็นเช่นนั้น การยกเลิกก็ต้องเป็นการดำเนินการโดยทั้งสองฝ่ายตกลงยกเลิกกัน หากยกเลิกฝ่ายเดียว อีกฝ่ายก็จะกล่าวหาว่าเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศได้ แต่หากไม่ได้ต้องการให้มีการปฏิบัติตามพันธะในความตกลง ไม่ต้องการให้มีผลภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ ฝ่ายใดจะยกเลิกเมื่อใดก็ได้ 

 

Q: มีประเด็นกฎหมายอะไรบ้างใน MOU 44 ที่น่าจะเป็นประโยชน์

A: ก่อนหน้าที่จะมี MOU ฉบับนี้ ไทยและกัมพูชาพยายามเจรจาหาหนทางปักปันเขตไหล่ทวีปที่ต่างฝ่ายต่างประกาศทับซ้อนกัน และต่างก็ประท้วงและไม่สามารถรับเขตที่ต่างฝ่ายต่างประกาศนี้ได้ ซึ่งเป็นภาวะปกติวิสัยของประเทศที่มีชายฝั่งประชิดทั่วโลก และของประเทศที่มีชายฝั่งตรงข้ามกันที่มีความกว้างระหว่างชายฝั่งกันไม่ถึง 400 ไมล์ทะเล (คือถ้ากว้าง 400 ไมล์ทะเล หรือกว้างกว่า ก็อาจแบ่งครึ่งกันฝ่ายละ 200 ไมล์ได้)  

 

MOU 44 จึงพยายามที่จะเป็นกลไกในการวางหลักการให้การเจรจาของทั้งสองฝ่ายเดินต่อไปได้บ้าง โดยมีหลักกว้างๆ ดังนี้

 

  1. เส้นด้านเหนือสุดของการอ้างเขตของกัมพูชาที่ลากผ่านเกาะกูดผิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ 100% ด้วยเหตุนี้ฝ่ายไทยต้องไม่ยอมรับเส้นนี้ด้วยประการใดๆ ฉะนั้นในแผนที่แนบท้าย MOU เส้นดังกล่าวจึงเว้าลงด้านล่างของเกาะกูด แปลว่ากัมพูชายอมรับแน่นอนว่าเกาะกูดเป็นดินแดนของไทย (ด้วยเหตุนี้การยืนยันว่า MOU 44 เป็นความตกลงระหว่างประเทศจึงยืนยันการยอมรับของกัมพูชาว่าเกาะกูดเป็นของไทยอีกทางหนึ่ง นอกจากสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส 1907 ที่กำหนดชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นดินแดนของไทย) 

 

  1. ประเทศไทยไม่เพียงแต่ต้องยืนยันว่าเกาะกูดเป็นดินแดนอธิปไตยของไทยอย่างไม่มีประเด็นกฎหมายใดโต้แย้งได้แล้ว แต่ต้องยืนยันเขตทะเลอาณาเขตรอบเกาะกูด 12 ไมล์ทะเลที่เราได้ประกาศไปแล้ว และยืนยันด้วยว่าเกาะกูดจะต้องมีไหล่ทวีปของตนเอง (ส่วนจะมีความกว้างเท่าใด ถึงแค่ไหน อาจต้องเจรจาบางส่วนต่อไป) ฉะนั้นเส้นด้านบนของการประกาศเขตไหล่ทวีปไทยตามพระบรมราชโองการ 1973 จึงเป็นเส้นที่คำนึงถึงการมีทะเลอาณาเขตและไหล่ทวีปของเกาะกูด และเป็นเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปของรัฐที่มีแนวชายฝั่งประชิดกัน พื้นที่ในส่วนนี้คือพื้นที่เหนือเส้นรุ้งที่ 11 องศาเหนือ ซึ่งตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อ 83 แห่ง UNCLOS 1982 เมื่อมีการอ้างสิทธิทับซ้อนกัน ต้องเจรจาเพื่อบรรลุความตกลงที่มีผลเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ไทยกับกัมพูชาก็ต้องเจรจาตกลงกัน แต่ในการเจรจาพื้นที่นี้ ไทยต้องยึดเอาหลักการที่เกาะกูดมีทะเลอาณาเขตและไหล่ทวีป เพื่อกำหนดเส้นด้านบนนี้ให้เฉียงลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้อย่างที่อ้างไว้ หากกัมพูชามีหลักการทางภูมิศาสตร์อันเป็นสภาวะพิเศษของชายฝั่งที่จะมาอ้างเพื่อแก้ไขเส้นนี้ก็ต้องนำมาใช้เจรจา ฉะนั้นในเขตดังกล่าวนี้จึงไม่มีเหตุใดๆ ที่จะมาใช้วิธีแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน

 

  1. ในส่วนด้านล่างของเส้นรุ้งที่ 11 องศาเหนือ พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเป็นเหตุมาจากการที่รัฐมีชายฝั่งตรงข้ามกัน สภาพเฉพาะมีเกาะ มีเส้นฐานตรง และมีสภาวะพิเศษของชายฝั่งทั้งสองรัฐ จะทำให้การเจรจาหาเส้นกลางแบ่งเขตทั้งสองฝ่ายน่าจะยากลำบากมาก จึงอาจพิจารณานำเอาหลักการข้อ 83 วรรคสาม แห่ง UNCLOS 1982 มาพิจารณา คือการดำเนินมาตรการชั่วคราว อันอาจหมายถึงการตกลงในวิธีการที่จะร่วมกันนำทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่นั้นขึ้นมาใช้ เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายอย่างเป็นธรรม มีธรรมาภิบาลและโปร่งใส หรือถ้าไม่เช่นนั้น ปัญหาก็จะคาราคาซังต่อไปเรื่อยๆ และไม่สามารถนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้

 

  1. หากกัมพูชาประสงค์จะให้มีการบรรลุข้อตกลงที่จะนำทรัพยากรบางส่วนมาใช้ร่วมกัน กัมพูชาต้องพิจารณาที่จะเจรจาในเขตพื้นที่เหนือเส้นรุ้งที่ 11 องศาเหนือไปพร้อมกัน จะเจรจาแต่เฉพาะเรื่องการหาวิธีการบรรลุการใช้ทรัพยากรร่วมกันใต้เส้นรุ้งที่ 11 องศาเหนืออย่างเดียวไม่ได้เด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ MOU จึงเรียกว่าเป็น Indivisible Package โดยทั้งสองกรณีต้องทำควบคู่กัน และในเรื่องการเจรจาปักปันเขตเหนือเส้นรุ้ง 11 ควรจะมีความคืบหน้าชัดเจนก่อนมีการหาข้อยุติเรื่องการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรร่วมกัน

 

  1. การดำเนินการทั้งปวงนี้ไม่ถือว่าเป็นการที่ไทยยอมรับการประกาศเขตและสิทธิในไหล่ทวีปของกัมพูชา และเช่นเดียวกันในส่วนของกัมพูชากับไทย  

 

  1. หากไทยและกัมพูชาตกลงยกเลิก MOU 44 แปลว่าทั้งสองฝ่ายยกเลิกแนวคิดทางกฎหมายข้างต้นนี้ และกลับไปอยู่ในสถานะที่ต่างประท้วงไม่ยอมรับประกาศของแต่ละฝ่าย และหาทางเจรจากันต่อไปโดยไม่มีความคืบหน้าใดๆ และภาวนากันต่อไปว่าจะไม่นำไปสู่ภาวะความขัดแย้งรุนแรงของประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนทั้งสองประเทศ

 

Q: มีความเชื่อมโยงทางกฎหมายอย่างไร ระหว่างพระบรมราชโองการประกาศเขตไหล่ทวีปของไทย 1973 (2516) กับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

A: 1. กฎหมายทะเลภายใต้อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป 1958 บัญญัติให้รัฐชายฝั่งทุกรัฐและเกาะสามารถประกาศเขตไหล่ทวีปของตนเอง ซึ่งหมายถึงบริเวณผืนดิน และบริเวณใต้ผืนดินที่ประชิดต่อเนื่องจากชายฝั่งและนอกเขตทะเลอาณาเขตออกไปแล้ว ไปจนถึงบริเวณที่มีความลึกไม่เกิน 200 เมตร หรือถึงบริเวณที่ความลึกที่รัฐยังสามารถแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในบริเวณดังกล่าวได้ ในบริเวณดังกล่าวรัฐชายฝั่งจะมีสิทธิอธิปไตยเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสิทธิเฉพาะของรัฐชายฝั่ง และสิทธินี้ไม่มีผลบังคับใช้กับบริเวณพื้นน้ำที่อยู่เหนือไหล่ทวีปที่ยังคงสถานะทางกฎหมายเป็นทะเลหลวง

 

  1. แต่ในกรณีที่มีไหล่ทวีปเดียวกันตั้งอยู่ระหว่างรัฐชายฝั่งตั้งแต่สองรัฐขึ้นไปที่มีชายฝั่งประชิดกันหรือตรงข้ามกัน ขอบเขตของไหล่ทวีปที่เป็นของรัฐเหล่านั้นจะถูกกำหนดโดยการทำความตกลงร่วมกันระหว่างรัฐนั้นๆ หากในกรณีที่ตกลงกันไม่ได้ให้พิจารณาใช้เส้นมัธยะในการปักปันเขตไหล่ทวีป นอกจากจะมีสภาวะแวดล้อมพิเศษเป็นอย่างอื่นที่ทำให้ไม่เหมาะที่จะใช้เส้นมัธยะ

 

  1. เพื่อเป็นการประกาศให้รู้ว่ารัฐชายฝั่งใดๆ จะใช้สิทธิอธิปไตยในไหล่ทวีปที่มีขอบเขตประการใดตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป 1958 รัฐจึงจำเป็นต้องทำประกาศบอกขอบเขตไหล่ทวีปของตนเอง ทั้งไทยและกัมพูชาจึงประกาศขอบเขตไหล่ทวีปของตนเองตามหลักกระบวนการกฎหมายของตน โดยตามกระบวนการกฎหมายของฝ่ายไทยต้องประกาศเป็นพระบรมราชโองการ แต่ทั้งนี้หากสมมติว่าชายฝั่งของไทยและไหล่ทวีปของไทยไม่มีรัฐชายฝั่งอื่นใดมาประชิดหรืออยู่ตรงข้ามเลยจนไปถึงความลึก 200 เมตร (หรือในกรณีภายใต้ UNCLOS 1982 ไปจนจรดความกว้าง 200 ไมล์ทะเล) ประกาศเขตตามพระบรมราชโองการนี้ถือว่าเป็นการสมบูรณ์ในตนเองแล้วภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ พื้นที่ทั้งหมดที่ประกาศก็อาจถือได้ว่าเป็นพื้นที่ไหล่ทวีปทั้งหมดของไทย แต่ในความเป็นจริงไหล่ทวีปในอ่าวไทยตั้งอยู่ระหว่างรัฐชายฝั่งตั้งแต่สองรัฐขึ้นไปที่มีชายฝั่งประชิดกันหรือตรงข้ามกัน กฎหมายระหว่างประเทศก็กำหนดให้รัฐที่เกี่ยวข้องเหล่านั้นต้องทำความตกลงเพื่อปักปันและกำหนดเขตไหล่ทวีประหว่างกัน เพื่อจะได้เป็นที่รู้กันว่าขอบเขตไหล่ทวีปของแต่ละรัฐไปจรดบริเวณใด การประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของแต่ละรัฐฝ่ายเดียว (Unilateral Claim) จึงยังไม่เป็นที่สมบูรณ์ยุติภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ

 

  1. ฉะนั้นเพื่อเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหลักกฎหมายตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป 1958 หรือ UNCLOS 1982 ก็บัญญัติเป็นหลักเดียวกัน (เพียงแต่ UNCLOS 1982 ถอดข้อความว่าด้วยเส้นมัธยะออกไป) ให้ไทยกับกัมพูชามีหน้าที่จะต้องเจรจาทำความตกลงกันเพื่อปักปันและแบ่งเขตไหล่ทวีปตามที่ไทยประกาศโดยวิธีใช้เป็นพระบรมราชโองการ 1973 และตามประกาศเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา 1972 โดยให้ทำความตกลงตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อบรรลุผลที่เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย  

 

ภาพ: Anton Balazh via Shutterstock

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising