×

บันทึกความได้-เสีย เมื่อฝุ่นควันจางหาย จากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา

30.12.2025
  • LOADING...
thailand-cambodia-border-conflict-analysis-2025

HIGHLIGHTS

  • ในมุมมองความมั่นคง ไทยถือว่าได้เปรียบในเชิงยุทธวิธี สามารถควบคุมพื้นที่พิพาทสำคัญและเปลี่ยนสถานะให้เป็น Buffer Zone ที่แข็งแกร่ง เพื่อใช้เป็นแต้มต่อในการเจรจาทางการทูตต่อไป ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาสูญเสียโครงสร้างพื้นฐานทางทหารและเส้นทางยุทธศาสตร์ไปเป็นจำนวนมาก
  • เบื้องหลังสงครามคือการกวาดล้าง ‘รังสแกมเมอร์’ นัยยะสำคัญที่ซ่อนอยู่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องดินแดน แต่คือปฏิบัติการทำลายล้างเครือข่าย ‘Scam Army’ ข้ามชาติ เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงเศรษฐกิจสีเทาครั้งใหญ่
  • สงครามครั้งนี้แลกมาด้วยชีวิตของทหารไทยถึง 42 นาย และมีผู้บาดเจ็บพิการจากการเหยียบกับระเบิดจำนวนมาก แม้สงครามจบแต่ทหารหลายนายยังต้องเผชิญกับภาวะ PTSD 
  • งบประมาณแผ่นดินกว่า 10,000 ล้านบาทถูกใช้ไปกับการรบและการเยียวยา ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรบสูงถึงวันละ 2,000 ล้านบาท ซ้ำร้ายการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาหยุดชะงักจนเหลือศูนย์ 
  • บทสรุปชี้ให้เห็นว่า ทุกชัยชนะบนกองซากปรักหักพังนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ในสงครามไม่มีใครชนะที่แท้จริง มีเพียงผู้ที่สูญเสียน้อยกว่า และผู้ที่เรียนรู้จากความเจ็บปวดได้เร็วกว่าเท่านั้น

เข็มนาฬิกาที่ด่านชายแดนพุ่งตรงสู่เวลาเที่ยงของวันที่ 30 ธันวาคม 68 ท่ามกลางบรรยากาศที่หนักอึ้ง ข้อตกลงหยุดยิง 72 ชั่วโมงจากการลงนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสองชาติกำลังจะสิ้นสุดลง 

 

สายลมหนาวไม่ได้ช่วยให้ไอร้อนจากปลายกระบอกปืนจางหายไป ความหวังที่จะเห็นสันติภาพถูกวางอยู่บนรอยร้าวแห่งความระแวง เพราะนี่คือการลงนามครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นบนกองเพลิงที่ยังไม่มอดดับสนิท และดูเหมือนแผลในครั้งนี้จะบาดลึกยิ่งกว่าเดิม

 

เมื่อทหารไทยสูญเสียขาเป็นรายที่ 11 ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องไปยังการส่งมอบเชลยศึกชาวกัมพูชา 18 นาย กลายเป็นฉากทัศน์ที่ย้อนแย้งกับความเป็นจริง สงครามครั้งนี้ไม่มีใครเดินออกมาได้อย่างสง่างาม แล้วในการต่อสู้ข้ามพรมแดนครั้งนี้ ใครกันที่เป็นผู้ชนะที่แท้จริง 

 

จากควันไฟที่ยังกรุ่นอยู่บนพิกัดทับซ้อน สู่ปฏิบัติการถล่มรังสแกมเมอร์ที่กลายเป็นนัยยะสำคัญทางการเมือง ปฏิบัติการบดขยี้อาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อตัดวงจรขีดความสามารถทางการรบ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของกระสุนและดินปืนอีกต่อไป

 

แต่คือกระดานหมากรุกระดับโลกที่โยงใย เอาขั้วอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย เข้ามาพัวพันในปมเงื่อนที่ซับซ้อนภายใต้การลงนามหยุดยิง เมื่อเดิมพันครั้งนี้สูงเกินกว่าที่ใครจะถอนตัว  

 

THE STANDARD ขอพาย้อนกลับไปสำรวจรอยแผล และดอกผลที่เกิดขึ้นตลอดปี 2568 ที่ผ่านมา เพื่อชั่งน้ำหนักถึงความคุ้มค่าบนหยดเลือดและหยาดเหงื่อ ในสมรภูมิไทย-กัมพูชา

 

ไฟไหม้ ศาลาตรีมุข สัญลักษณ์มิตรภาพ ไทย-ลาว-กัมพูชา

ไฟไหม้ ศาลาตรีมุข สัญลักษณ์มิตรภาพ ไทย-ลาว-กัมพูชา 

 

ชนวนเหตุและสัญลักษณ์ที่ล่มสลาย


ชนวนเหตุแห่งรอยร้าว เริ่มต้นขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ วันที่เสียงเพลงชาติกัมพูชาดังขึ้นเหนือปราสาทตาเมือนธม ก่อนที่เปลวเพลิงจะลุกโชนขึ้นเผาไหม้ ‘ศาลาตรีมุข’ สถาปัตยกรรมไม้ที่เป็นประจักษ์พยานแห่งมิตรภาพ จุดเริ่มต้นความขัดแย้งระดับชาติตลอดปี 2568  


ไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญ:

  • 13 ก.พ. 68: ทหารและประชาชนกัมพูชาร้องเพลงชาติบนปราสาทตาเมือนธม ไทยยื่นประท้วง
  • 27 ก.พ. 68: ผบ.ทบ. กัมพูชา นำทหาร 80 นายพร้อมอาวุธไปยังสามแยกลาว อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี 
  • 1 มี.ค. 68: ศาลาตรีมุขเกิดเหตุเพลิงไหม้ มีทหารกัมพูชารุกล้ำพื้นที่ไทย
  • 28 พ.ค. 68: ปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ที่ช่องบก ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย
  • 29 พ.ค. 68: ไทย-กัมพูชา เจรจาเห็นพ้องใช้ JBC ถอนกำลัง ต่อมาฝ่ายกัมพูชาออกแถลงการณ์ว่าจะไม่ปรับกำลังออกจากแนวปะทะ ฝ่ายไทยรายงานพบกัมพูชาละเมิด MOU 43 ถึง 651 ครั้ง (ปรับป้อม-ถนน-ขุดคู ฯลฯ)
  • 4 มิ.ย. 68: ไทยย้ำ 4 จุดหลัก เช่น ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม เป็นของไทย 
  • 6 มิ.ย. 68: สมช. มีมติให้ ทบ. ควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดน
  • 7 มิ.ย. 68: เริ่มมาตรการควบคุมจุดผ่านแดน แนวชายแดนไทย-กัมพูชา
  • 8 มิ.ย. 68: กัมพูชาเชิญฝ่ายไทยเจรจา บรรลุข้อตกลงกลับไปวางกำลังแบบเดิมในปี 67
  • 14 มิ.ย. 68: เตรียมประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา
  • 16 ก.ค. 68: ทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณช่องบก ข้อเท้าขาด 1 ราย 
  • 23 ก.ค. 68: ทหารไทย 5 นาย ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดบริเวณช่องอานม้า มีทหารขาขาด 1 นาย / ช่วงเย็นแม่ทัพภาคที่ 3 ยกระดับ ปิดด่าน 4 แห่ง 2 สถานที่ท่องเที่ยว พร้อมประณามกัมพูชาจากการลอบวางทุ่นระเบิด / รักษาการนายกฯ สั่งลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมเรียกทูตไทยและขับทูตกัมพูชากลับประเทศ 
  • 24-28 ก.ค. 68: เหตุปะทะครั้งแรกเกิดที่ปราสาทตาเมือนธมและพื้นที่ใกล้เคียง (ศรีสะเกษ, สุรินทร์, อุบลราชธานี) มีการใช้อาวุธหนัก มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งสองฝ่าย อ้างยึดพื้นที่สำคัญได้บางส่วน 
  • 28 ก.ค. 68: ทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณปราสาทตาควาย ข้อเท้าขาด 1 ราย ก่อนที่ไทย-กัมพูชา ตกลงหยุดยิงในเวลา 24.00 น. 
  • 6-7 ส.ค. 68: ประชุม GBC ที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐฯ และจีนร่วมสังเกตการณ์ ทั้งสองฝ่ายตกลงในกรอบหยุดยิง 13 ข้อ ครอบคลุมการยุติการใช้อาวุธ ถอนกำลัง และตั้งคณะตรวจสอบเหตุละเมิดข้อตกลง
  • ส.ค.-พ.ย. 68: มีเหตุการณ์ยิงย่อยและการวางทุ่นระเบิดในบางพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณช่องบกและช่องอานม้า ซึ่งตรวจพบโดรนไม่ทราบฝ่ายบินเหนือเขตควบคุม และทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาดเพิ่มอีก 4 นาย 
  • ต้นเดือน ธ.ค. 68: สถานการณ์เริ่มตึงเครียดอีกครั้ง มีการเคลื่อนย้ายอาวุธหนักของกัมพูชา
  • 7 ธ.ค. 68 : กัมพูชาเริ่มยิงปะทะที่ ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน (ศรีสะเกษ) ไทยยิงตอบโต้
  • 8 ธ.ค. 68 : ปะทะหนักที่ ช่องอานม้า และช่องบก จ.อุบลราชธานี ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บหลายนาย มีการใช้อากาศยานไทยโจมตีตอบโต้ ขณะที่ กัมพูชายิงจรวด BM-21 ตกใส่บ้านเรือนประชาชนที่บ้านสายโท 10 จ.บุรีรัมย์
  • 9 ธ.ค. 68: พบกัมพูชาตั้งฐานที่บ้านหนองรี จ.ตราด 
  • 10 ธ.ค. 68: F-16 ทิ้งระเบิดทำลายคลังจรวด BM-21 รวมถึงเส้นทางลำเลียงกำลังพลและอาวุธของกัมพูชา
  • 14-15 ธ.ค. 68: การปะทะยังคงต่อเนื่องในหลายพื้นที่
  • 21 ธ.ค. 68: มีทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณบ้านสามหลัง จ.ตราด ขาขาด 1 ราย 
  • 25 ธ.ค. 68: มีทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณใกล้ปราสาทตาควาย ขาขาด 1 ราย
  • 27 ธ.ค. 68: ก่อนประกาศหยุดยิง มีผลบังคับใช้ ในเวลา 12.00 น. มีทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่เขาสัตตะโสม ขาขาด 1 ราย 
  • 29 ธ.ค. 68: มีทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่เขาสัตตะโสม ขาขาด 1 ราย 
  • 30 ธ.ค. 68: เวลา 12.00 น. ครบกำหนดหยุดยิง 72 ชั่วโมง ที่ไทยเตรียมส่งคืนเชลยศึกกัมพูชา 18 นาย

 

ความเสียหายหลังเหตุการณ์การปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

ความเสียหายหลังเหตุการณ์การปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

 

สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในมือของแต่ละฝ่ายคืออะไร

 

เมื่อม่านควันเริ่มจางลง เผยให้เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่หลังแนวปะทะ เพจ Thaiarmedforce.com สื่อความมั่นคงและเทคโนโลยีทางทหาร ได้ถอดรหัสสถานการณ์นี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า การหยุดยิงในเวลานี้มิใช่การถอยหนี แต่คือ ‘จังหวะที่เหมาะสมที่สุด’ บนกระดานยุทธศาสตร์ เพราะหากกวาดสายตาผ่านแนวรบตลอด 800 กิโลเมตร สิ่งที่ไทยได้กลับมาคือ ‘แต้มต่อ’ ที่ประเมินค่าไม่ได้ 

 

พื้นที่พิพาทสำคัญอย่างช่องอานม้า ปราสาทตาควาย หรือหมู่บ้านตามแนวชายแดนตะวันออก ล้วนกลับมาอยู่ในการควบคุมของไทย เปลี่ยนสถานะจากพื้นที่สีเทาให้กลายเป็น Buffer Zone ที่แข็งแกร่ง และเป็นไพ่ใบสำคัญในมือสำหรับการเจรจาในอนาคต ทำให้หากต้องมีบทที่สามของสงคราม ไทยจะเป็นฝ่ายที่ยืนตระหง่านอยู่บนภูมิประเทศที่ได้เปรียบกว่าเดิมอย่างมหาศาล

 

ในทางกลับกัน บัญชีความสูญเสียของฝ่ายตรงข้ามกลับแดงเถือกไปด้วยตัวเลขที่น่าตกใจ ข้อมูลระบุชัดว่ากัมพูชาพ่ายแพ้ในแทบทุกแนวรบ ไม่เพียงแต่สูญเสียพื้นที่ที่เคยอ้างสิทธิ์ แต่ยังรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร สะพานขนส่ง และเส้นทางยุทธศาสตร์ที่ถูกตัดขาด 

 

ยิ่งไปกว่านั้น เพจ Thaiarmedforce.com ระบุว่า กรณีของ ‘ปราสาทพระวิหาร’ ที่ถูกแปรเปลี่ยนจากมรดกโลกให้กลายเป็นฐานที่ตั้งทางทหารเพื่อยิงถล่มไทย ทำให้ความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศสิ้นสุดลงทันที การโต้ตอบของไทยจึงกลายเป็นความชอบธรรม และอาจส่งผลให้กัมพูชาต้องเสี่ยงกับการเสียสถานะมรดกโลกด้วยน้ำมือของตนเอง นี่คือราคาแพงลิบลิ่วที่ต้องจ่ายให้กับความประมาทที่มองว่าไทยจะไม่กล้าใช้เขี้ยวเล็บทางอากาศเข้าจัดการ

 

แต่นอกเหนือจากผลแพ้ชนะในสนามรบ อีกหนึ่งปัจจัยที่บีบคั้นให้เข็มนาฬิกาต้องหยุดเดินคือ ‘กติกาโลก’ Thaiarmedforce.com ชี้ให้เห็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไทยไม่ใช่มหาอำนาจอย่างรัสเซียหรืออิสราเอลที่จะเมินเฉยต่อประชาคมโลกได้ การต่อเวลาพิเศษนี้อาจนำไปสู่การแทรกแซงของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ซึ่งอาจเปลี่ยนผู้คุมเกมจากเราเป็นเขา 

 

ดังนั้น การดึงเกมกลับมาสู่เวที GBC ที่ไทยควบคุมสถานการณ์ได้ จึงเป็นชัยชนะทางการทูตที่งดงามที่สุด ควบคู่ไปกับการคืนลมหายใจให้ทหารกล้าได้พักผ่อน และคืนชีวิตปกติสุขให้ชาวบ้านที่เสียสละมามากพอแล้ว

 

ท้ายที่สุด บทสรุปของสงครามครั้งนี้สอนให้รู้ว่า การทำให้คู่ต่อสู้อย่างกัมพูชาสิ้นสภาพอาจเป็นเป้าหมายที่ไกลเกินจริงและไม่คุ้มค่ากับการลงทุน สิ่งที่ไทยทำได้ดีที่สุดคือการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ ‘การทูต’ ทำงานต่อจาก ‘ปลายกระบอกปืน’ 

 

ชัยชนะทางทหารจะไร้ความหมายหากเราพ่ายแพ้บนโต๊ะเจรจา วันนี้ไทยจึงเลือกที่จะหยุดเพื่อเดินหน้าต่อ โดยมีชัยชนะทางยุทธวิธีเป็นฐานที่มั่น เพื่อเปลี่ยนผลลัพธ์ในสนามรบให้กลายเป็นความมั่นคงถาวร ที่ไม่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้ออีกต่อไป เพราะเราไม่สามารถยกทัพไปยึดอะไรตามใจได้

 

ทุ่นระเบิดที่พบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

ทุ่นระเบิดที่พบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

 

สมรภูมิแห่งการสูญเสีย

 

หลังสิ้นสุดการปะทะ สิ่งที่หลงเหลือไว้อย่างชัดเจนที่สุดคือความอาลัยและเกียรติยศของทหารกล้า 42 นาย ผู้เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องแผ่นดินในสมรภูมิเลือดทั้งสองรอบ 

 

ย้อนกลับไปในศึกระลอกแรก ช่วงกรกฎาคม 2568 แม้การเจรจาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีมาตรการภาษีของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เป็นแรงกดดัน จะนำมาซึ่งการหยุดยิง แต่กว่าจะถึงวันนั้น เราได้สูญเสียทหารไปถึง 15 นาย 

 

เริ่มตั้งแต่ พลทหาร วรัญชิต ยวงสุวรรณ ที่ต้องจากไปเป็นรายแรก ตามมาด้วยวีรบุรุษจากฐานฟ้าลั่นและปราสาทตาควาย อย่าง จ.ส.อ. ธวัชชัย บุสภา และเหล่าทหารกล้าอีกหลายนายที่พลีชีพเพื่อตรึงแนวชายแดน จนถึงนาทีสุดท้ายก่อนหยุดยิงในวันที่ 28 กรกฎาคม ที่เราต้องเสียทหารไปรวดเดียวถึง 7 นายที่ช่องอานม้า นี่คือบทพิสูจน์ว่าเสรีภาพบนด้ามขวานแลกมาด้วยเลือดเนื้อของลูกหลานไทยอย่างแท้จริง

 

แต่คำว่า ‘สันติภาพ’ สำหรับกัมพูชากลับเป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อสัญญาณการรบระลอกสองปะทุขึ้นในเดือนธันวาคม ภายใต้ภารกิจกวาดล้าง ‘รังสแกมเมอร์’ และทวงคืนอธิปไตย ตลอด 20 วันแห่งความดุเดือดตั้งแต่วันที่ 7-26 ธันวาคม กองทัพต้องสูญเสียนักรบไปอีก 27 นาย 

 

ความสูญเสียถาโถมเข้ามาดั่งพายุ ตั้งแต่ จ.ส.อ.ศตวรรษ สุจริต ผู้ประเดิมความเจ็บปวดในรอบสอง ไล่เรียงมาถึงวันที่หนักหนาสาหัสที่สุดอย่างวันที่ 10 และ 13 ธันวาคม ที่กระสุนพรากชีวิตทหารไปวันละ 4 นาย การสู้รบครั้งนี้ขยายวงกว้างและดุเดือด ข้าศึกใช้ทุกวิถีทางเพื่อรักษาสถานะ แต่ทหารไทยทุกนาย ตั้งแต่ทหารพรานไปจนถึงหน่วยรบพิเศษ ยังคงเดินหน้าด้วยหัวใจที่แกร่งกว่าเหล็กไหล แม้จะรู้ว่าปลายทางอาจไม่ได้กลับบ้าน

 

แม้ลายเซ็นบนกระดาษข้อตกลงหยุดยิงจะแห้งสนิทแล้ว แต่ความตายยังคงซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนดิน ในวันที่ 29 ธันวาคม ขณะที่หลายคนกำลังเฉลิมฉลองส่งท้ายปี จ.ส.ต. สุจินต์ จิตกรียาน กลับต้องกลายเป็นผู้เสียสละขาเป็นรายที่ 11 จากกับระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ที่ดักรอเหยื่ออย่างไร้ปรานี



เหตุการณ์นี้ตอกย้ำความจริงอันโหดร้ายว่า ในสายตาของข้าศึกและสภาพพื้นที่จริง “สันติภาพที่แท้จริงยังมาไม่ถึง” การประชุมทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา-จีน เป็นเพียงฉากหน้า แต่ในสนามจริง ทหารช่างยังต้องแลกอวัยวะเพื่อเคลียร์เส้นทางปลอดภัยให้พี่น้องประชาชน 

 

และเมื่อสงครามภายนอกจบลง ‘สงครามภายในใจ’ หรือ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น สำหรับทหารที่รอดชีวิต ภาพความตายของเพื่อนร่วมรบ เสียงระเบิด และวินาทีเฉียดตาย ยังคงฉายซ้ำในรูปแบบของภาพย้อนอดีต (Flashback) และฝันร้ายที่คอยหลอกหลอน ความเครียดที่สะสมในสนามรบแปรเปลี่ยนเป็นความก้าวร้าว การแยกตัว หรือการพึ่งพาสารเสพติดเพื่อดับทุกข์ การนอนหลับให้สนิทกลายเป็นเรื่องยากเย็น ซึ่งหากสังคมไม่เข้าใจและไร้การเยียวยาที่ถูกวิธีบาดแผลที่มองไม่เห็นนี้อาจกัดกินชีวิตของวีรบุรุษเหล่านี้ไปตลอดกาล ชัยชนะจึงไม่ได้วัดกันแค่การยึดพื้นที่ แต่ต้องรวมถึงการ ‘พาใจทหารกลับบ้าน’ ให้ได้อย่างปลอดภัยเช่นกัน

 

งานเก็บกู้และตรวจยึดทุ่นระเบิดรวมถึงยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่พบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

งานเก็บกู้และตรวจยึดทุ่นระเบิดรวมถึงยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่พบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

 

งบดุลแห่งสงคราม 

 

ภายใต้ควันไฟที่ปกคลุมสมรภูมิ มีอีกหนึ่งความจริงที่น่าตกใจซ่อนอยู่ในบัญชีงบประมาณแผ่นดิน วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร ได้เปิดเผยตัวเลขที่ชวนให้ฉุกคิดว่า เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ของการปะทะ งบประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเงินจำนวนนี้เป็นส่วนหนึ่งของงบเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุจำนวนกว่า 80,000 ล้านบาท และในปี 2569 ได้ตั้งงบส่วนนี้ไว้สูงถึง 83,930 ล้านบาท

 

แต่ความน่ากลัวที่แท้จริงถูกขยายความโดย พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเครื่องจักรสงครามเริ่มเดินเครื่องเต็มกำลัง ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการจริงอาจพุ่งทะยานสูงถึง วันละ 2,000 ล้านบาท นี่คือราคาที่คนไทยต้องร่วมกันจ่าย เพื่อแลกกับการรักษาอธิปไตยในแต่ละวินาที

 

หากผ่าโครงสร้างราคาที่แฝงอยู่ในอาวุธยุทโธปกรณ์ จะพบว่าต้นทุนสงครามเริ่มต้นตั้งแต่ปลายนิ้วของทหารราบ แม้กระสุนปืนเล็กยาวขนาด 5.56 มม. จะมีราคาเพียงนัดละ 15-20 บาท แต่เมื่อรวมกันทั้งกองทัพ ค่าใช้จ่ายจะตกอยู่ที่ราว 1,000 บาทต่อคนต่อวัน และเมื่อขยับสู่การยิงสนับสนุน ลูกปืนครกหนึ่งนัดอาจมีราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึง 1,000,000 บาท สำหรับรุ่นนำวิถีขนาด 120 มม. นั่นหมายความว่าเสียงหวีดหวิวของกระสุนที่พุ่งผ่านอากาศเพียงหนึ่งนัด มีมูลค่าเท่ากับเงินเก็บทั้งชีวิตของใครบางคน

 

ความดุเดือดของตัวเลขทวีคูณขึ้นเมื่อมองไปบนท้องฟ้าและปืนใหญ่ระยะไกล การส่ง F-16 ขึ้นครองอากาศมีต้นทุนสูงถึงชั่วโมงละ 750,000 บาท ขณะที่ Gripen อยู่ที่ 350,000 บาท เพื่อนำพาระเบิดร่อนนำวิถีอย่าง JDAM หรือ KGGB ที่มีราคาตั้งแต่ 1.2 ล้าน ถึง 2.7 ล้านบาท ไปสู่เป้าหมาย ส่วนภาคพื้นดิน ปืนใหญ่ 155 มม. แบบนำวิถี หนึ่งนัดมีราคาสูงถึง 2.38 ล้านบาท ขีปนาวุธบางชนิดมีราคาแตะ 30 ล้านบาทต่อลูก ข้อมูลเหล่านี้ตอกย้ำให้เห็นว่า สงครามยุคใหม่คือการระดมทรัพยากรที่มหาศาลที่สุดเพื่อทำลายล้างกันและกัน

 

พล.ท.พงศกร ย้ำด้วยว่าการรบตามแบบ Conventional Warfare ต้องยึดหลัก ‘รุกเร็ว จบเร็ว’ เพราะการปล่อยให้สงครามยืดเยื้อคือหายนะทางเศรษฐกิจที่ไม่คุ้มค่า บทเรียนจากบัญชีค่าใช้จ่ายนี้สอนให้รู้ว่า ชัยชนะในสงครามอาจทำให้ผู้ชนะรู้สึก ‘ได้ใจ’ ในชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อหักลบกลบหนี้กับงบประมาณและโอกาสในการพัฒนาประเทศที่สูญเสียไป ผลลัพธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ก้นตะกอนสำหรับทุกฝ่าย มักมีเพียงความ ‘เสียใจ’ เท่านั้น

 

ประชาชนหลบอยู่ภายในบังเกอร์ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

ประชาชนหลบอยู่ภายในบังเกอร์ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

 

เมื่อบ้านแตกสาแหรกขาด และเศรษฐกิจชายแดนต้องหยุดหายใจ

 

สงครามไม่ได้ทำลายเพียงแค่สิ่งปลูกสร้าง แต่มันกำลังทำลายชีวิตของผู้คนนับแสน เมื่อความตึงเครียดระลอกใหม่ปะทุขึ้นในเดือนธันวาคม หลังข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางพังทลายลง ตัวเลขผู้อพยพพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย 

 

ข้อมูลจากศูนย์พักพิงใน 7 จังหวัดชายแดนระบุว่า มีพี่น้องคนไทยกว่า 263,325 คน ต้องทิ้งบ้านเรือน ทิ้งไร่นาที่กำลังออกผล เพื่อหนีตายเอาชีวิตรอด ขณะที่ฝั่งกัมพูชาเองก็มีผู้คนกว่า 330,000 คน ต้องชะตากรรมไม่ต่างกัน ภาพของผู้สูงอายุและเด็กน้อยที่ต้องนอนเบียดเสียดในศูนย์พักพิง ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ คือเครื่องยืนยันว่าความขัดแย้งด้านความมั่นคง ได้แปรเปลี่ยนเป็นวิกฤตมนุษยธรรมที่โหดร้ายที่สุดในปี 2568

 

และเมื่อเสียงปืนดังขึ้น เสียงของเครื่องจักรเศรษฐกิจก็เงียบลงทันที เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ชี้ให้เห็นว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่อาจมองข้าม การสู้รบทำให้การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เคยคึกคักต้องกลายเป็น ‘ศูนย์’ ในพริบตา 

 

อารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า เพียงแค่เดือนพฤศจิกายน การค้าชายแดนกับกัมพูชาลดลงถึง 100% เม็ดเงินกว่า 7.2 หมื่นล้านบาท ที่ควรจะสะพัดในช่วงปลายปีหายวับไปกับตา ทิ้งไว้เพียงความเงียบเหงาของด่านชายแดนและความวิตกกังวลของผู้ประกอบการ ที่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากการลงทุนในกัมพูชากว่า 50,000 ล้านบาท

 

บาดแผลทางเศรษฐกิจยิ่งลึกขึ้นเมื่อมองภาพรวมระดับภูมิภาค ในขณะที่ไทยกำลังติดหล่มความขัดแย้ง เพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม กลับเร่งเครื่องแซงหน้าด้วยการปฏิรูปโครงสร้างและดึงดูดการลงทุนขนานใหญ่ แม้แต่ มาเลเซียและสิงคโปร์ ก็ยังจับมือกันเดินหน้าพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ความกังวลว่า GDP ไทยจะโตรั้งท้ายอาเซียนจึงไม่ใช่เรื่องเกินจริง 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาขาดแคลนแรงงานเริ่มส่อเค้าวิกฤต เมื่อแรงงานกัมพูชากว่า 3 แสนคนทยอยกลับประเทศ ทิ้งช่องว่างในภาคเกษตรและบริการให้ชะงักงัน แม้การส่งออกผ่านแดนไปจีนและเวียดนามจะพอช่วยพยุงตัวเลขรวมไว้ได้บ้าง แต่ก็ไม่อาจทดแทนความสูญเสียในพื้นที่ที่บอบช้ำได้อย่างสมบูรณ์

 

สุดท้ายแล้ว ภาระทั้งหมดตกอยู่ที่งบประมาณแผ่นดินที่ต้องนำมา ‘โปะ’ ความเสียหาย รัฐบาลต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าเยียวยาชีวิตและทรัพย์สินเบื้องต้นกว่า 2,740 ล้านบาท บวกกับงบปฏิบัติการทางทหารอีก 5,200 ล้านบาท รวมแล้วเกือบหมื่นล้านบาทที่ละลายไปกับไฟสงคราม โดยยังไม่รวมความเสียหายทางเศรษฐกิจอีกมหาศาล

 

ทหารไทยยิงถล่มอาคารคาสิโนและโรงแรมฝั่งกัมพูชาที่ใช้เป็นฐานสแกมเมอร์

ทหารไทยยิงถล่มอาคารคาสิโนและโรงแรมฝั่งกัมพูชาที่ใช้เป็นฐานสแกมเมอร์

 

เบื้องหลังยุทธการเด็ดปีก เมื่อ ‘คาสิโน’ คือ ป้อมปราการ

 

ภายใต้ฉากหน้าของข้อพิพาทเขตแดนที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2450 สงครามครั้งนี้กลับซ่อนนัยยะที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม มันไม่ใช่เพียงการแย่งชิงผืนดิน แต่คือ ‘ปฏิบัติการล้างบาง’ เพื่อถอนรากถอนโคน ‘เครือข่าย Scam Army’ หรือกองทัพสแกมเมอร์ข้ามชาติที่กัดกินเศรษฐกิจโลก 

 

กองทัพภาคที่ 2 ได้นิยามบทบาทใหม่ของไทยว่าเป็น ‘Frontline Defender’ หรือปราการด่านหน้าของโลกในการหยุดยั้งมหันตภัยไซเบอร์ ปฏิบัติการทางอากาศที่แม่นยำจึงถูกใช้เพื่อทำลายฐานปฏิบัติการสแกม 6 แห่ง รวมถึงคาสิโนและโรงแรมหรูที่ถูกใช้เป็นฉากบังหน้าในการหลอกลวงเหยื่อ ซึ่งสร้างความเสียหายให้ไทยปีละกว่า 115,300 ล้านบาท การโจมตีครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการตัด ‘ท่อน้ำเลี้ยง’ เส้นใหญ่ที่หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจสีเทาของกัมพูชา ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

 

ในมุมมองทางยุทธศาสตร์ พื้นที่สีเทาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งทำเงิน แต่คือ ‘คลังแสงที่ซ่อนเร้น’ สำนักข่าว Asiatimes และหน่วยข่าวกรองไทยระบุตรงกันว่า อาคารคาสิโนเหล่านี้ถูกดัดแปลงให้เป็นฐานบัญชาการทางทหาร แหล่งเก็บโดรนพิฆาต และคลังอาวุธนับสิบแห่งที่เชื่อมโยงกับขั้วอำนาจในกัมพูชา 

 

เมื่อภัยคุกคามถูกแฝงอยู่ในคราบพลเรือน กองทัพอากาศไทยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปฏิบัติการโจมตีเชิงลึกเพื่อทำลายขีดความสามารถในการรบของฝ่ายตรงข้าม ส่งผลให้กัมพูชาตอบโต้ด้วยจรวด BM-21 จนประชาชนนับแสนต้องพลัดถิ่น แต่สำหรับไทย นี่คือความจำเป็นที่ต้อง ‘ทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหาร’ เพื่อความปลอดภัยระยะยาวของลูกหลานไทยในอนาคต

 

แม้แรงกดดันจากเวทีโลกจะถาโถมเข้ามา ทั้งความพยายามไกล่เกลี่ยของมาเลเซีย หรือคำขู่เรื่องกำแพงภาษีจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่รัฐบาลไทย โดยนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ยืนหยัดปฏิเสธการแทรกแซงจากมือที่สามอย่างแข็งกร้าว โดยชี้แจงให้โลกเห็นภาพความจริงที่ พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ได้ย้ำชัดว่า “เป้าหมายทุกจุดที่ถูกทำลาย ล้วนผ่านการพิสูจน์ทราบแล้วว่าเป็นฐานทัพที่ซ่อนตัวในคราบคาสิโน” 

 

ปฏิบัติการครั้งนี้จึงไม่ใช่การรังแกเพื่อนบ้าน แต่คือการผ่าตัดเนื้อร้ายทิ้ง เพื่อไม่ให้ไทยต้องตกเป็นเหยื่อของสงครามไฮบริดที่ใช้ทั้งกระสุนปืนและสงครามไซเบอร์ในการทำลายล้างเราอีกต่อไป

 

ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว

ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว

 

แม้ไม่รู้ว่าภาพทหารชาวกัมพูชา 18 นาย ก้าวเท้าข้ามเส้นแบ่งเขตแดนกลับสู่มาตุภูมิในช่วงเที่ยงวันที่ 30 ธันวาคม จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ เพราะการตรวจพบโดรนจำนวนมากถึง 250 ลำ เข้ามาในพื้นที่ของไทย ในวันที่ 28 ธันวาคม ทำให้กองทัพอาจทบทวนข้อตกลง เพราะมองว่าเป็นการยั่วยุและไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ลงนามร่วม รวมถึงโพสต์ล่าสุดของ ฮุน มาเน็ต และ ฮุน เซน สองผู้นำกัมพูชาที่แสดงท่าทีไม่ยอมรับการคงกำลังพลไว้ในตำแหน่งเดิมหลังการหยุดยิงว่าไม่มีผลต่อการปักปันเขตแดน

 

ทำให้เห็นว่า นี่คือบททดสอบก้าวแรกของสันติภาพที่ยังเปราะบางและเต็มไปด้วยขวากหนาม และไม่อาจลบภาพความหวาดระแวงที่ฝังลึกได้หมดสิ้น 

 

ทางออกที่ยั่งยืนนับจากนี้จึงไม่อาจพึ่งพาเพียงลายเซ็นบนสนธิสัญญาหยุดยิง แต่ต้องอาศัยการทูต ภาคประชาชน และการจัดการพื้นที่ทับซ้อนด้วยความเข้าใจ เพื่อเปลี่ยน ‘เส้นขนานแห่งความขัดแย้ง’ ให้กลายเป็น ‘พื้นที่แห่งการพัฒนาร่วมกัน’ ที่ต้องไม่มีใครต้องสังเวยขาหรือลมหายใจเพื่อแย่งชิงอีก

 

บทเรียนราคาแพงตลอดปี 2568 ได้จารึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ เพื่อเตือนใจเราเสมอว่า ทุกชัยชนะบนกองซากปรักหักพังนั้นมีราคาที่ต้องจ่ายแพงเกินกว่าจะประเมินค่า และท้ายที่สุดแล้ว เมื่อฝุ่นควันจางหาย เราอาจค้นพบสัจธรรมนิรันดร์ที่ว่า “ในสงครามไม่มีใครชนะที่แท้จริง มีเพียงผู้ที่สูญเสียน้อยกว่า และผู้ที่เรียนรู้จากความเจ็บปวดได้เร็วกว่าเท่านั้น”

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising