มาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรมที่จัดทำโดยสมาคมกับธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ในกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการที่พักแรม 200 แห่งกระจายทุกภูมิภาค โดยพบว่า 58% ของโรงแรมที่เข้าร่วมการสำรวจมีสภาพคล่องลดลงมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และ 68% มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจได้ไม่เกิน 3 เดือน โดยมีถึง 26% ที่มีสภาพคล่องเพียงพอไม่ถึง 1 เดือน
ขณะที่การสำรวจอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในเดือน มิถุนายนพบว่า โรงแรมส่วนใหญ่มีอัตราการเข้าพักเพียง 10% จากจำนวนห้องพักทั้งหมด โดยโรงแรมในภาคใต้และภาคเหนือซึ่งพึ่งพาการท่องเที่ยวสูงมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำมากที่ 6% ขณะที่ภาคอีสานมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ 13%
นอกจากนี้จากการสำรวจโรงแรมที่เปิดกิจการอยู่ทั้งหมดพบว่า มีถึง 49% ที่รายได้ยังกลับมาไม่ถึง 10% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด
“ผลสำรวจของเราสะท้อนแค่จากโรงแรมที่ยังเปิดกิจการอยู่ ไม่นับรวมกลุ่มที่ปิดกิจการไปแล้วซึ่งน่าจะมีมากถึง 50% ของโรงแรมทั้งหมด ต้องบอกว่าธุรกิจโรงแรมตอนนี้กำลังย่ำแย่สุดๆ ยิ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้น และภาครัฐอาจจะใช้มาตรการทางสาธารณสุขที่เข้มงวดขึ้น ทำให้พวกเราต้องกลับมาประเมินกันใหม่ว่าจากเดิมที่คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเริ่มกลับเข้ามาได้ตุลาคมนี้อาจจะต้องเลื่อนออกไปเป็นปีหน้า” มาริสา กล่าว
หลายโรงแรมเตรียมปิดกิจการ ปลดพนักงานเพิ่ม
มาริสากล่าวว่า ความไม่ชัดเจนเรื่องแผนกระจายวัคซีนของภาครัฐทำให้ธุรกิจโรงแรมไม่สามารถประเมินได้ว่านักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามาได้เมื่อไร หลายโรงแรมในเวลานี้เริ่มมีความคิดที่จะลดการจ้างงานเพิ่มขึ้นหรืออาจถึงขั้นปิดกิจการชั่วคราว
“ผลสำรวจเรื่องการจ้างงานพบว่า ปัจจุบันโรงแรมมีการจ้างงานเฉลี่ยที่ 53% ของช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด แต่หากสถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไปการจ้างงานจะยิ่งลดลงหรือต้องหยุดจ้างชั่วคราว เพราะแม้แต่คนที่มีสายป่านตอนนี้ก็เริ่มจะไม่ไหวกันแล้ว มันไม่มีธุรกิจให้เราทำ ในเมื่อจัดเลี้ยงไม่ได้ จัดอีเวนต์ไม่ได้ ไม่มีคนเข้าพัก เราก็ไม่มีรายได้เพียงพอที่จะครอบคลุมรายจ่าย” มาริสา กล่าว
รอความชัดเจนค่าธรรมเนียมและภาษีการโอนโครงการพักทรัพย์พักหนี้
นายกสมาคมโรงแรมไทยกล่าวอีกว่า ขณะนี้โรงแรมหลายแห่งกำลังรอความชัดเจนเรื่องการยกเว้นค่าธรรมเนียมและภาษีการโอนทรัพย์ของมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเชื่อว่าเมื่อมีความชัดเจนเรื่องนี้ จะมีผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้น
“เท่าที่ทราบมีทั้งโรงแรมที่อยากเข้าโครงการเพื่อให้มีสภาพคล่องมาหมุนเวียน และกลุ่มที่ไม่อยากเข้าจะมองว่าการกู้เงินมาในช่วงที่ยังไม่รู้อนาคตและประเมินธุรกิจไม่ได้เช่นนี้เหมือนกับการเอาเงินมาเผาทิ้ง บางส่วนก็กลัวว่าจะไม่สามารถซื้อคืนได้ในอนาคต ส่วนคนที่อยากเข้าจะมองว่าการปิดกิจการแล้วต้องสูญเสีย Key Persons ไป เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น หากจะกลับมาเปิดใหม่จะเป็นเรื่องยาก เขาจึงต้องการเงินมาช่วยพยุงการจ้างงานไว้ก่อน” มาริสา กล่าว
มาริสากล่าวว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการโรงแรมต้องการจากภาครัฐคือความชัดเจนเรื่องวัคซีน เพื่อที่จะประเมินทิศทางธุรกิจกับมาตรการช่วยพยุงการจ้างงานระยะยาวจนกว่าจะกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวได้ โดยมองว่ามาตรการความช่วยเหลือที่ออกมาเวลานี้แม้จะช่วยได้บางส่วนแต่ยังเป็นมาตรการระยะสั้นเท่านั้น
