ThaiBMA เผยครึ่งแรกของปี 2566 ตลาดตราสารหนี้ไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าคงค้างสิ้นไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 16.4 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.1% ฟากต่างชาติขายสุทธิ 8.1 หมื่นล้านบาท
สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า ด้านกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นไตรมาส 2/66 นักลงทุนต่างชาติมียอดการขายสุทธิสะสม 8.1 หมื่นล้านบาท จากการขายสุทธิตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุคงเหลือต่ำกว่า 1 ปี และซื้อสุทธิตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 2/66 นักลงทุนต่างชาติมียอดการถือครองตราสารหนี้ไทยที่ 1 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 6.1% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย
โดยอายุคงเหลือเฉลี่ยของตราสารหนี้ไทยที่ถือครองเท่ากับ 8.1 ปี เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเมื่อสิ้นปี 2565 ที่ 8 ปี เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Government Bond Yield Curve) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีความชันลดลง โดยรุ่นอายุต่ำกว่า 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้นตามการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในขณะที่รุ่นอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป มีการปรับตัวลดลงตามอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มต่ำลง โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2566 Bond Yield ไทยรุ่นอายุ 2 ปี ปรับตัวสูงขึ้น 52 bps. จากสิ้นปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 2.15% ส่วน Bond Yield 10 ปี ปรับตัวลดลง 6 bps. มาอยู่ที่ 2.58%
อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond Yield Curve) อายุ 5 ปีของหุ้นกู้ทุกอันดับเครดิตปรับตัวสูงขึ้น 19-33 bps. ในช่วงครึ่งแรกปี 2566 ใกล้เคียงกับการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2566 อันดับเครดิต AAA ปรับตัวมาอยู่ที่ 3.02%, AA ที่ 3.29%, A ที่ 3.58%, BBB+ ที่ 4. 50% และ BBB ที่ 5.33%
นอกจากนี้ผลการสำรวจการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของผู้ร่วมตลาด ที่ส่วนใหญ่คาดว่า กนง. จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในครึ่งหลังของปี จาก 2% ไปสู่ระดับ 2.25% ขณะที่ Bond Yield รุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี ผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้นในกรอบ 10-15 bps. จากสิ้นไตรมาส 2 ขึ้นไปที่ 2.47% สำหรับรุ่นอายุ 5 ปี และขึ้นไปที่ 2.70% สำหรับรุ่นอายุ 10 ปี ในปลายปี 2023 ตามทิศทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐฯ
สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ตลาดตราสารหนี้ไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย ณ สิ้นไตรมาส 2/66 มีมูลค่าเท่ากับ 16.4 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.1% จากสิ้นปีที่แล้ว เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลและภาคเอกชน
เปิดลิสต์ 3 กลุ่มธุรกิจ ‘ออกหุ้นกู้สูงสุด’
ขณะที่การออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว หรือหุ้นกู้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีมูลค่า 617,664 ล้านบาท คิดเป็น 49% ของมูลค่าการออกทั้งปี 2565 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการออกสูงสุด 3 ลำดับแรก คือ
- กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์
- กลุ่มพลังงาน
- กลุ่มธนาคาร
ทั้งนี้ หุ้นกู้ระยะยาวที่ออกในช่วงครึ่งปีแรก เป็นการเสนอขายต่อผู้ลงทุนทั่วไป (PO: Public Offering) ในสัดส่วน 37% ของยอดการออกหุ้นกู้ระยะยาว ซึ่งสูงขึ้นจากในปี 2565 ที่ 28%
สำหรับการออก ESG Bond ในช่วงครึ่งแรกปี 2566 เท่ากับ 92,427 ล้านบาท โดยจนถึงปัจจุบัน ผู้ออกภาคเอกชนมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากผู้ออก 3 รายในปี 2561 เป็น 23 ราย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2566
ด้วยมูลค่าคงค้าง ESG Bond ของภาคเอกชนเท่ากับ 219,017 ล้านบาท คิดเป็น 5% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น ESG Bond ประเภทตราสารหนี้สีเขียว (Green Bond) ส่วนภาครัฐถือเป็นผู้ออกรายใหญ่ของ ESG Bond ของไทยประเภทตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond)
ด้าน อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า ประมาณการยอดการออกหุ้นกู้ในปี 2566 คาดว่าน่าจะได้เห็นยอดการออกหุ้นกู้ระยะยาวไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท ด้วยมูลค่าการออกหุ้นกู้ระยะยาวในครึ่งปีแรกแล้วกว่า 6 แสนล้านบาท ประกอบกับส่วนที่จะออกเพื่อทดแทนรุ่นที่ครบกำหนดไถ่ถอนในครึ่งหลังของปี และการออกเพื่อระดมเงินทุนใหม่รวมกันไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท