×

‘ปรับ Mindset เน้นปลาฝูง’ ถอดรหัสกลยุทธ์ไทย คว้าโอกาสจีนอย่างไรให้ประเทศเติบโต

19.09.2025
  • LOADING...
เวทีเสวนา The Secret Sauce Summit 2025 ถอดรหัสกลยุทธ์ไทยคว้าโอกาสจากจีน

ในโลกที่การแข่งขันทางเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยทุน เทคโนโลยี และห่วงโซ่อุปทานข้ามพรมแดน ประเทศที่สามารถยึดจังหวะของกระแสโลกได้ทัน คือประเทศที่มีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดด

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในเทรนด์สำคัญของเศรษฐกิจโลก ณ วันนี้ คือการขยายตัวของห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะจากมหาอำนาจเบอร์ 2 อย่าง ‘จีน’  ท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้า

 

ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในจุดที่โดดเด่นและสามารถกลายเป็น ‘สะพาน’ เชื่อมจีนไปสู่ตลาดอาเซียนและตลาดโลกได้อย่างมีศักยภาพ แต่สิ่งที่กำลังเป็นคำถามสำคัญ คือ ไทยควรใช้แนวทางหรือยุทธศาสตร์เช่นไร เพื่อคว้าโอกาสจากจีน และขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน 

 

ประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นพูดบนเวทีเสวนา Catching China Business Opportunities : ธุรกิจไทยจะคว้าโอกาสจากจีนได้อย่างไร ภายในงาน The Secret Sauce Summit 2025 โดยผู้เชี่ยวชาญในการทำธุรกิจระหว่างไทยและจีน ร่วมกันถอดรหัสสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทย เช่น การปรับ Mindset และกลยุทธ์เพื่อเข้าไปจับมือกับจีน

 

นักธุรกิจจีนมองเห็นโอกาสอะไรในไทย

 

กิตติพงศ์ พุทธพรมงคล รองเลขาธิการบริหาร หอการค้าไทย-จีน และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอชซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทรดดิ้ง จำกัด ให้ความเห็นว่า ปัจจุบัน นักลงทุนจีนจำนวนมากกำลังมองหา “ฐานการผลิตใหม่” นอกประเทศจีน เพื่อเลี่ยงแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐฯ และยุโรป หลังจากสงครามการค้าในยุคประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนต้องพยายามหาทางกระจายความเสี่ยง โดยมุ่งออกไปตั้งโรงงานในต่างประเทศ

 

ปัจจุบัน มีนักธุรกิจจีนจำนวนมากเริ่มทยอยเข้ามาลงทุนในไทย ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV), โลจิสติกส์, พลังงานหมุนเวียน, เกษตรสมัยใหม่ และเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

 

นอกเหนือจากตลาดภายในประเทศไทยที่มีศักยภาพสูง จุดเด่นของไทยในฐานะที่เป็นประเทศศูนย์กลางของอาเซียน และเป็นประตูเข้าสู่ตลาดอาเซียนที่มีประชากรกว่า 600 ล้านคน ทำให้ไทยกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่ดึงดูดนักธุรกิจจากจีน นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดไปยังตลาดโลกอย่างยุโรปและสหรัฐฯ ที่จีนกำลังเผชิญข้อจำกัดทางการค้าได้อีกด้วย

 

ขณะที่กิตติพงศ์ ชี้ถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของผู้ประกอบการไทยในการทำธุรกิจกับจีน โดยมองว่าจุดแข็งของไทย คือการมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับจีน และมีมิตรภาพที่ดีกับจีนเสมอมา ส่วนจุดอ่อนนั้นอาจจะเป็นเรื่องของภาษา ซึ่งถ้าเทียบกับมาเลเซียหรือเวียดนาม พบว่ามีการสนับสนุนให้เรียนภาษาจีนมากขึ้น และอาจจะเป็นจุดได้เปรียบ

 

ปลาฝูง ชนะปลาใหญ่ ปลาเร็ว

 

ธนวัฒ พิบูลย์สวัสดิ์ Founder & Managing Director, ICT manufacturing ซึ่งมีประสบการณ์ทำธุรกิจร่วมกับชาวจีนโดยตรง ชี้ว่าประเทศไทยเป็น “Land of smile” ที่เปิดรับทุกชาติ และทางจีนเองที่เข้ามานั้นต้องการ ‘ส่งออก’เป็นหลัก 

 

โดยกุญแจหลักของจีน ในการเข้ามาลงทุนในไทยคือการมองหาพาร์ทเนอร์ที่ใช่ในประเทศไทย ซึ่งเขาแนะนำว่า สิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทย คือต้องรวมกันเป็นกลุ่ม โดยเปรียบว่า นักลงทุนจีนเป็นเหมือน “ฝูงปลา” ที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและเป็นขบวนใหญ่ การที่ผู้ประกอบการไทยทำธุรกิจอย่างโดดเดี่ยวจึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะสู้พลังของเครือข่ายจีนได้

 

สิ่งที่ไทยต้องทำคือการรวมกลุ่มกันเองให้เป็น “ฝูงปลาไทย” แล้วค่อยเข้าไปจับมือกับฝูงปลาจีน การรวมตัวกันนี้จะสร้างอำนาจต่อรอง ทำให้ไทยสามารถดึงเทคโนโลยี ความรู้ (Know-How) และกลุ่มลูกค้าของจีนเข้ามาได้มากขึ้น

 

ขณะที่กิตติพงษ์ แนะนำว่าหากกลุ่มผู้ประกอบการท้ังในไทยและระดับอาเซียนสามารถรวมกันเป็นกลุ่มก่อน จะยิ่งสามารถสร้างพลังต่อรองกับจีนเพิ่มขึ้น และสามารถเอาจุดขายในการเป็นจุดเชื่อมโยงตลาดอาเซียน เพื่อดึงดูดผู้ประกอบการจีน เช่น ในหากเรามีเครือข่ายผู้ประกอบการอาเซียนในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน แล้วเสนอให้จีนใช้ภูมิภาคอาเซียนเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังยุโรปและอเมริกา ก็จะกลายเป็นข้อเสนอที่ทรงพลังและดึงดูดนักธุรกิจจีนได้มากกว่าการแข่งขันกันเอง 

 

ปรับ Mindset เรียนรู้ ต่อยอด 

 

ธนวัฒ เน้นว่าจุดสำคัญคือการปรับ “วิธีคิด” (Mindset) ของผู้ประกอบการไทยในการเรียนรู้และต่อยอดอย่างสม่ำเสมอ

 

เขายกตัวอย่างการ Transform บริษัทจาก Trading ที่ซื้อของจากจีนมาแปรรูปนิดหน่อยแล้วขายคนไทย มาเป็นโรงงานผลิตเต็มตัว โดยได้รับความร่วมมือจากจีนในด้าน Know-how ตั้งแต่ช่วงปี 2020 จนปี 2025 ซึ่งจีนได้ให้ความช่วยเหลือแลกเปลี่ยนกับการส่งออกไปยังตลาดยุโรปหรือสหรัฐฯ

 

ในช่วง Transform นี้เอง ที่เขาได้ปรับเปลี่ยนวิธีคิด โดยการไม่มองตัวเองว่าเป็นนายจ้าง แต่มองตัวเองเป็นลูกจ้าง ในการเรียนรู้ Know-how ต่างๆ จากจีน และนำมาต่อยอดกับธุรกิจของตนเอง

 

“เขาพาไปไหนผมไปหมด ไม่ว่าจะนั่งรถไฟ จะนอนโรงแรมแบบไหน จะไปอะไร เพื่อเรียนรู้ พอเรียนรู้เสร็จแล้ว เราก็เอามาต่อยอดกับธุรกิจเราครับ คือ อย่ามองตัวเองว่าเป็นนายจ้าง เราต้องเป็นลูกจ้างเขาก่อน เราเป็นลูกจ้างเขา เราได้ Know-how เรามาต่อยอดในธุรกิจของเราได้” 

 

ต้อง “เร็วอย่างมีโครงสร้าง”

 

ด้านสิริดา นาคทัต คณะกรรมการกฎหมายธุรกิจ หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ บริษัท เสรีมานพแอนด์ดอล์ย จำกัด เตือนว่าการเร่งคว้าโอกาสจากจีนไม่อาจทำด้วยความรวดเร็วล้วนๆ โดยปราศจากการวางระบบรองรับ เพราะแม้ชาวจีนจะชอบความเร็ว แต่ธุรกิจไทยต้อง “เร็วอย่างมีโครงสร้าง” (Speed with Structure) หมายถึงการตอบสนองอย่างคล่องตัวพร้อมกับเดินตามกรอบกฎหมายและธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการจัดทำเอกสารสัญญา การขอใบอนุญาตที่จำเป็น และการกำหนดขอบเขตสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาให้รัดกุม

 

ปัญหาส่วนใหญ่ของธุรกิจที่ล้มเหลวมักมาจากการตกลงปากเปล่าหรือไม่มี Term Sheet ชัดเจนในช่วงต้น เช่น ไม่กำหนดว่าใครเป็นผู้จัดหาแรงงาน ใครดูแลเครื่องจักร ใครเป็นเจ้าของ know-how ที่พัฒนาร่วมกันในโรงงาน ฯลฯ ซึ่งเมื่อเกิดความขัดแย้งในภายหลังจะไม่สามารถหาข้อยุติได้ ทำให้ความร่วมมือล่มกลางคัน

 

ในการลดความเสี่ยงนั้น สิริดามองว่า ธุรกิจไทยควรมีวินัยด้านเอกสารและการทำ Due Diligence อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น Term Sheet, Shareholder Agreement หรือการตรวจสอบสถานะทางกฎหมายและการเงินของคู่ค้าก่อนเริ่มลงทุนจริง เพราะแม้จะใช้เวลาเพิ่มขึ้นในช่วงต้น แต่จะช่วยลดความเสียหายระยะยาวและสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งสองฝ่าย

 

นอกจากนี้ยังมีประเด็นทางกฎหมายที่ต้องเข้าใจ เช่น ธุรกิจบางประเภทในไทยอยู่ในบัญชี 3 ซึ่งชาวต่างชาติไม่สามารถถือหุ้นเกิน 49% ได้ หากนักลงทุนจีนต้องการถือหุ้น 100% จำเป็นต้องขอ BOI หรือ Foreign Business License ซึ่งใช้เวลาหลายเดือน ดังนั้น หากผู้ประกอบการไทยถือหุ้นเกิน 51% จะสามารถตั้งกิจการร่วมทุน (Joint Venture) ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอใบอนุญาต ถือเป็นช่องทางที่สอดรับกับพฤติกรรมของนักลงทุนจีนที่ต้องการความรวดเร็วสูง

 

ด้านกิตติพงศ์เสริมว่า ผู้ประกอบการจีนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ในไทย เช่น Haier หรือ BYD ล้วนปฏิบัติตามกฎหมายไทยอย่างถูกต้อง จึงเป็นหน้าที่ของฝ่ายไทยที่จะคัดเลือกพันธมิตรที่พร้อมลงทุนระยะยาวอย่างจริงจัง ไม่ใช่กลุ่มที่เพียงแค่ “มาลองตลาด” แบบไม่มีใบอนุญาตและพร้อมจะหายไปเมื่อเจออุปสรรค

 

ขณะที่เขามองว่าประเทศไทยเองก็ต้องปรับปรุงระบบนิเวศทางธุรกิจด้วย อาจจะเป็นในด้านกฎระเบียบหรือข้อกฎหมาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักลงทุนจากจีนหรือประเทศต่างๆ ที่จะเข้ามาลงทุนในอนาคต และต่อยอดห่วงโซ่อุปทานการผลิตของไทยให้ยั่งยืนและเติบโตมากขึ้น

 

ไทยต้องเป็น ‘คู่คิด’ ไม่ใช่ ‘คู่แข่ง’ 

 

ท้ายที่สุด กลยุทธ์ที่ไทยต้องยึด คือการวางตำแหน่งตัวเองใหม่ในฐานะ ‘คู่คิด’ ไม่ใช่ ‘คู่แข่ง’ ของจีน โดยใช้จุดแข็งของไทยด้านทำเล วัฒนธรรม และเครือข่ายในอาเซียน ผสานกับจุดแข็งของจีน ด้านทุน และเทคโนโลยี และเร่งสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการอาเซียนที่เข้มแข็งเพื่อการเจรจาต่อรองในแบบกลุ่ม 

 

การรวมกลุ่มผู้ประกอบการไทย, การทำงานเร็วอย่างมีโครงสร้าง และการยกระดับไปสู่ซัพพลายเชนโลก คือ ​3 กลยุทธ์หลักที่ต้องเดินหน้าทันที เพื่อไม่ให้โอกาสจากจีนไหลผ่านไทยไปสู่ประเทศอื่น

 

โดยหากสามารถเดินตามกลยุทธ์เหล่านี้ได้ ไทยจะไม่เพียงคว้าโอกาสจากจีนได้สำเร็จ แต่ยังจะสามารถใช้จีนเป็น “แรงส่ง” พาประเทศไทยก้าวขึ้นสู่เวทีเศรษฐกิจโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising