ดัชนีหุ้นไทย (SET) พุ่งแตะ 1,406.49 จุด บวกมากสุด 41 จุด ในวันนี้ (5 กันยายน) ทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 5 เดือน และในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 130 จุด จากจุดต่ำสุดของวันที่ 5 สิงหาคม
แรงซื้อที่เข้ามาในวันนี้เป็นการซื้อสุทธิจากทั้งนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันในประเทศไทย มูลค่า 7.4 พันล้านบาท และ 3.6 พันล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนทั่วไปในประเทศเป็นฝ่ายขายสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่หนุนตลาดหุ้นไทยขึ้นมารอบนี้มาจากความคาดหวังต่อเงินทุนที่จะเข้ามาใหม่ผ่านกองทุนวายุภักษ์ พร้อมกับความคาดหวังต่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่น่าจะเร่งผลักดันนโยบายสำคัญต่อเนื่อง เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต
“สิ่งที่โชคดีของหุ้นไทยคือเงินทุนจากกองทุนวายุภักษ์กำลังจะเข้ามาในช่วงที่แรงขายในตลาดหายไป เนื่องจากมาตรการ Uptick Rule ทำให้มูลค่าการขายชอร์ตเหลือเพียงประมาณ 1-2 พันล้านบาทต่อวัน”
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของหุ้นไทยราว 7% (อิงจากราคาปิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน) สวนทางกับคาดการณ์กำไรต่อหุ้นของหุ้นไทยที่ถูกปรับลง 2% สะท้อนว่าการปรับขึ้นรอบนี้มาด้วยความคาดหวัง ไม่ได้ปรับขึ้นมาด้วยปัจจัยพื้นฐาน
“ช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนนี้ข่าวดีจะยังมีน้ำหนักมาก แต่ครึ่งเดือนหลังน้ำหนักของข่าวดีจะเริ่มลดลง พร้อมกับความเสี่ยงจากการปรับนโยบายการเงินของ Fed จะเข้ามามากขึ้น ไม่ว่า Fed จะลดดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.50% ก็อาจเป็นลบกับตลาดได้ทั้งคู่”
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากการศึกษาของตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า เงินลงทุนที่เข้ามาเพิ่มในตลาดทุกๆ 1 หมื่นล้านบาท จะช่วยให้ดัชนี SET ปรับขึ้นได้ประมาณ 15-20 จุด
ถ้าประเมินแบบอนุรักษนิยม “เชื่อว่าโอกาสที่ดัชนี SET จะวิ่งขึ้นต่อได้อีกอย่างน้อย 50 จุด น่าจะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก แต่การวิ่งขึ้นหลังจากนี้อาจจะไม่ได้ง่ายเหมือนกับช่วงที่ผ่านมา” ภาดลกล่าว
ด้าน ชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงในวันนี้ทะลุระดับ 1,400 จุด เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือ กองทุนวายุภักษ์ 1 ที่มีความคืบหน้าและชัดเจนมากขึ้น โดยจะเปิดขายระหว่างวันที่ 16-20 กันยายนนี้ และจะเปิดให้นักลงทุนสถาบันจองซื้อในระหว่างวันที่ 18-20 กันยายน
ฝ่ายวิจัยฯ ยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในสิ้นปีนี้ไว้ที่ระดับ 1,600 จุด ซึ่งทำไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 พร้อมประเมินว่าตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หลังจากดัชนีร่วงลงไปแตะที่ระดับ 1,275 จุด เนื่องจากภาพปัจจัยการเมืองเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นในระยะต่อไปน่าจะเห็นแรงขับเคลื่อนของนโยบายภาครัฐออกมาเพิ่มขึ้นและมีความราบรื่นต่อเนื่องในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ปัจจัยเสี่ยงระยะสั้นที่ต้องตามคือ แนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าจะมีทิศทางเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ รวมถึงประเด็นความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ว่ามีการขยายวงสู้รบมากไปกว่าคู่ขัดแย้งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันด้วยหรือไม่
