ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยวันนี้ (7 เมษายน 2565) ดัชนี SET ปิดที่ 1,682.41 จุด ลดลง 18.77 จุด หรือ 1.1% จากวันก่อนหน้า โดยการปรับฐานของดัชนี SET ในวันนี้ ไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในฝั่งเอเชีย ซึ่งมีเพียงตลาดหุ้นอินโดนีเซียเท่านั้นที่สามารถยืนอยู่ในแดนบวกได้
ปัจจัยสำคัญสองประการที่เข้ามากดดันตลาดหุ้นไทย คือ 1. การส่งสัญญาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เกี่ยวกับโอกาสในการลดขนาดงบดุลลงไม่เกินเดือนละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคาดว่าจะเริ่มมาตรการในการประชุม FOMC ครั้งถัดไป ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2565
2. อัตราเงินเฟ้อของไทยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนีราคาผู้บริโภคของไทยหรือเงินเฟ้อทั่วไป เดือนมีนาคม 2565 เท่ากับ 104.79 เพิ่มขึ้น 5.73% จากปีก่อน สูงสุดในรอบ 13 ปี
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ที่ดัชนี SET ปรับขึ้นมาต่อเนื่องจนกลับไปทะลุ 1,700 จุด ส่วนหนึ่งอาจเป็นแรงหนุนจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง 7 วันทำการ ส่งผลให้ทั้งปีนี้ต่างชาติซื้อสุทธิไปแล้วกว่า 1.16 แสนล้านบาท สวนทางกับนักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นฝ่ายขายสุทธิ 8.35 หมื่นล้านบาท และ 3.33 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า หุ้นไทยมีโอกาสปรับฐานลงต่อ โดยหลักจากแรงกดดันในเรื่องที่ Fed อาจจะลดขนาดงบดุลเร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกที่เคยได้แรงหนุนจากเงินที่ล้นระบบ คงจะได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย
“จากสถิติในอดีต ตลาดหุ้นในเดือนพฤษภาคมมักจะปรับลง 7 ปี จาก 10 ปี แต่สำหรับปีนี้ อาจจะเห็นตลาดปรับฐานตั้งแต่เดือนเมษายน และอาจจะฟื้นตัวได้ในเดือนพฤษภาคม โดยอาจจะเห็นการซื้อกลับหลังวันที่ 4 พฤษภาคม ซึ่งมีความชัดเจนจาก Fed ออกมาแล้ว”
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้มีโอกาสที่ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับฐานได้ราว 5% รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่มีโอกาสจะลดลงไปทดสอบระดับ 1,600 จุด ทำให้เราแนะนำลดพอร์ตลงทุนในช่วงนี้
ภาดลกล่าวต่อว่า แม้นักลงทุนต่างชาติจะเข้าซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่ไม่ได้สะท้อนว่าต่างชาติกำลังมองเชิงบวกต่อหุ้นไทย เพราะโดยปกติแล้วการเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างชาติมักจะเป็นเชิงเปรียบเทียบระหว่างตลาดหุ้นในแต่ละประเทศ ซึ่งหุ้นไทยอาจจะไม่ได้มีโอกาสปรับขึ้นมาก แต่ขณะเดียวกันก็มีโอกาสปรับลงน้อยกว่า หากตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับลง การถือหุ้นไทยก็อาจจะช่วยให้เอาชนะตลาดได้
ด้าน จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) มองว่า ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นฟื้นตัวหลังจากปัญหาสงครามเริ่มคลี่คลาย แต่ปัญหาหนึ่งที่ยังอยู่คือ ผลกระทบของสงครามจะเริ่มเกิดขึ้นในไตรมาส 2 เป็นต้นไป ทำให้ตลาดยังกังวลในส่วนนี้ และในระยะสั้น แม้ว่าสงครามจะเริ่มคลี่คลาย แต่ราคาน้ำมันที่เคยพุ่งขึ้นไปสูงกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ล่าสุดแม้จะปรับลงมาแต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูง
“ส่วนตัวมองว่าเงินเฟ้อจะยังสูง และกดดัน Fed ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ทำให้ตลาดหุ้นจะมีแรงต้านค่อนข้างมาก อะไรที่ตลาดรู้สึกว่าแพงจะถูกขายก่อน แต่ถามว่าตลาดจะลดลงไปมากหรือไม่ อาจจะขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจในระยะถัดไป”
ทั้งนี้ คาดการณ์เศรษฐกิจโลกอาจเติบโตลดลงจาก 4% มาเหลือ 3% จากผลกระทบของสงคราม ส่วนการเติบโตของไทยคาดว่าจะลดลงจากกว่า 3% มาเหลือ 2.5-3% ส่วนความถูกแพงของหุ้นไทยตอนนี้อาจจะอยู่เกณฑ์กลางๆ เมื่อเทียบกับหุ้นโลก แต่อาจจะแพงเมื่อเทียบกับการเติบโตในอดีตที่ผ่านมา
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP