SET Index วานนี้ (19 ตุลาคม) ปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,423.04 จุด ลดลง 14.81 จุด ติดลบ 1.03% โดยดัชนีที่ปิดเป็นระดับต่ำสุดใหม่ของปี 2566 มูลค่าซื้อขาย 36,501.88 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,896.73 ล้านบาท
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง เพราะถูกกดดันจากปัจจัยในต่างประเทศเป็นหลัก กล่าวคือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรง โดยเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา Bond Yield อายุ 2 ปีพุ่งขึ้นไปที่ระดับ 5.2% ส่วนอายุ 10 ปีพุ่งไปใกล้เคียงระดับ 5% ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 2549-2550 ดังนั้นด้วยผลตอบแทนที่จูงใจของ Bond Yield จึงส่งผลให้มีแรงเทขายออกมาเพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยกดดันดังกล่าวข้างต้น
นอกจากนี้ยังถูกกดดันจากความกังวลต่อสถานการณ์สงครามการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส รวมถึงสถานการณ์ Tech War ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาที่ยกระดับเข้มข้นขึ้น
และมีแรงขายในหุ้นกลุ่มพลังงานนำ โดยหุ้นขนาดใหญ่ คือ บมจ.ปตท. หรือ PTT กับ บมจ.ปตท.สผ. หรือ PTTEP หลังจากกลุ่ม OPEC ไม่คว่ำบาตรอิหร่าน อีกทั้งสหรัฐฯ ประกาศผ่อนคลายการคว่ำบาตรเวเนซุเอลา ซึ่งทำให้มีซัพพลายน้ำออกมาเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น และแนวโน้มราคาน้ำมันที่ลดลง ซึ่งจะมีผลต่อราคาหุ้นพลังงานที่มีขนาดมาร์เก็ตใหญ่
นอกจากนี้ยังมีความไม่แน่นอนจากกรณีที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต มีการเลื่อนการประชุมออกไปก่อนจากเดิมที่กำหนดจะประชุมวานนี้ เนื่องจากยังมีหลายประเด็นไม่ได้ข้อสรุป และคาดว่าจะมีการประชุมคณะอนุกรรมการฯ อีกครั้งสัปดาห์หน้า ในวันที่ 24 ตุลาคมนี้
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นภูมิภาค โดยมาจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติด้วย รวมถึงชะลอการลงทุน (Wait & See) เพื่อติดตามถ้อยแถลงของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่สมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์กในคืนวานนี้ (19 ตุลาคม) ว่าจะส่งสัญญาณถึงนโยบายดอกเบี้ยอย่างไร แต่มีมุมมองว่ามีโอกาสที่ Fed จะเริ่มหยุดการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของ Fed ช่วงวันที่ 31 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายนนี้
อย่างไรก็ดี ประเมินว่าในระยะสั้นในช่วงที่เหลือของเดือนตุลาคมนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมี Downside โดยมีแนวรับแรกที่ 1,420 จุด และหากหลุดมีแนวรับถัดไปที่ระดับ 1,380 จุด
ฐกฤตกล่าวต่อว่า หากสถานการณ์สงครามการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสไม่ขยายวงลุกลามไปสู่ประเทศอื่นๆ และสามารถคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ด้วยสมมติฐานนี้ คำแนะนำให้ทยอยซื้อหุ้นในช่วงจังหวะที่ตลาดหุ้นไทยย่อตัวมาที่ระดับแนวรับ 1,420 จุด กับ 1,380 จุด
สำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงยาว แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัว คือ PTTGC, SCGP หลังจากเศรษฐกิจจีนเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น รวมถึงกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม คือ WHA, AMATA ซึ่งจะได้ประโยชน์จากประเด็น Tech War รวมถึงการที่นายกรัฐมนตรีออกไปโรดโชว์ที่จีนกับสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) ให้เข้ามากขึ้น และกลุ่มท่องเที่ยวที่จะได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล คือ AOT, ERW เนื่องจากมีโอกาสที่ตลาดหุ้นทยอยฟื้นตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี พัฒนสิน อยู่ระหว่างการทบทวนตัวเลขเป้าหมาย SET Index ในสิ้นปี 2566 ที่เคยทำไว้ที่ระดับ 1,700 จุด