สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ดัชนี SET วิ่งจากบริเวณ 1,580 จุด ขึ้นมาถึง 1,650 จุดภายใน 11 วันทำการ เฉพาะวันนี้ (30 พฤษภาคม) ดัชนีเพิ่มขึ้นอีก 14.86 จุด หรือ 0.91% ปิดที่ 1,653.61 จุด
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ในเดือนมิถุนายนตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ได้ขึ้นหรือลงแรงอีกแล้ว ด้วยความกังวลเกี่ยวกับธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ลดลงไป และหลายปัจจัยสะท้อนอยู่ในราคาไปแล้ว
“สิ่งที่ต้องติดตามต่อคือตัวเลขเศรษฐกิจ ซึ่งในเดือนมิถุนายนอาจจะไม่ได้เห็นตัวเลขที่น่ากังวลนัก แต่ดัชนีที่เกิน 1,650 จุดเริ่มไม่น่าสนใจ เพราะดัชนีที่ระดับ 1,650 จุดในวันนี้ เทียบกับเมื่อ 1 เดือนที่แล้วแตกต่างกัน เนื่องจากคาดการณ์กำไรตอนนี้ต่ำกว่าเมื่อ 1 เดือนก่อน เพราะฉะนั้นตัวเลข 1,650 จุดตอนนี้จึงเป็นระดับที่แพงกว่า”
ณัฐชาตย้ำว่า เราแนะนำขายทำกำไรและถือเงินสดมากขึ้น แต่หากต้องการจะถือหุ้นในสัดส่วนที่สูง ควรจะเป็นตลาดหุ้นในประเทศที่ลงมาแรง และ Valuation ในตอนนี้น่าสนใจมากกว่าเมื่อ 1 เดือนก่อน เช่น หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ซึ่งกำไรยังประคองอยู่ได้ และบอนด์ยีลด์น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว หรือตลาดหุ้นจีนและเวียดนามที่ Valuation เป็นต่อ
“รอบนี้เป็นรอบของการเด้งหลังจากลงแรง ตลาดที่ลงแรงก็มักจะเด้งแรงกว่า ขณะที่หุ้นไทยไม่ได้ลงแรงเท่ากับอีกหลายประเทศ การเด้งก็จะไม่แรงเท่าเช่นกัน”
นอกจากนี้ ถ้าดูเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีความเสี่ยงสำคัญจากราคาพลังงานสูง ทำให้ฐานะการคลังของประเทศอาจแย่ลง และค่าครองชีพจะสูงขึ้นจากการเริ่มส่งผ่านผลกระทบของผู้ผลิต เพราะฉะนั้นความเสี่ยงหนึ่งที่ยังไม่ได้พูดถึงกันมากนักคือ โอกาสที่แบงก์ชาติจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ หลังจากที่เงินทุนสำรองของประเทศเริ่มลดลงเร็วจากการเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจและพยุงค่าเงิน
“หากจะมีจุดต่ำสุดใหม่ก็อาจจะเป็นไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 การลงรอบที่ผ่านมาเป็นการลงเพราะความกลัวเท่านั้น แต่ยังไม่เกี่ยวข้องกับกำไรที่ลดลง แต่ถ้าถัดไปเป็นการลงด้วยพื้นฐาน ก็ยังมีโอกาสมากกว่า 50% ที่จะเห็นดัชนีต่ำกว่า 1,580 จุด”
ด้าน ณัฏฐะ มหัทธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บลจ.กรุงไทย มองว่า การฟื้นตัวรอบนี้คือ Bear Market Rally หรือเป็นแค่การฟื้นตัวชั่วคราวในตลาดขาลง แต่ปัจจัยหนุนให้ตลาดฟื้นตัวรอบนี้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาครบทั้ง 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ Valuation, Liquidity และ Growth
ขณะนี้หุ้นสหรัฐฯ ลงมาจนถูกแล้ว ขณะที่สภาพคล่องถูกนำกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง ในส่วนนี้เป็นเพราะก่อนหน้านี้นักลงทุนถอนเงินออกจากตลาดมากขึ้น เพราะเกรงว่า Fed จะดูดสภาพคล่องกลับเร็ว แต่ล่าสุด Fed ส่งสัญญาณจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งแล้วพักไว้ก่อนเพราะตัวเศรษฐกิจเริ่มอ่อนแอ ขณะที่มุมมองต่อการเติบโตเริ่มดีขึ้นหลังการคลายความกังวล
“ขณะนี้ทุกอย่างเหมือนจะดี แต่ระยะถัดไปข้อมูลเศรษฐกิจจะออกมาทำให้มุมมองต่อการเติบโตไม่ดีนัก ทำให้ปัจจัยหนุนตลาดหายไป 1 ปัจจัย แต่ในระยะ 1-2 เดือนนี้สภาพคล่องจากนักลงทุนจะยังเป็นตัวนำได้อยู่”
ในระยะถัดไปเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอลง แต่เงินเฟ้อจะยังสูงอยู่ ทำให้มีความเสี่ยง Stagflation ซึ่งการจะรับมือทำให้ทองคำและคริปโตเคอร์เรนซีน่าจะดีขึ้น ขณะที่อีกฟากหนึ่งอย่างจีนน่าจะเห็นการฟื้นตัวได้
“ดอลลาร์อ่อนขณะที่จีนฟื้น ทำให้กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์จะดี เช่น โลหะอุตสาหกรรม และพลังงาน ส่วนหุ้นไทยจะเห็นเงินทุนไหลเข้ามาเป็นตัวหนุนได้บ้าง โดยเฉพาะธีมเปิดประเทศ”
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP