ตลาด หุ้นไทย ตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นภาพของการปรับฐานลงเช่นเดียวกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก โดยดัชนี SET ลดลง 7.49% มาอยู่ที่ราว 1,533.37 จุด อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงของหุ้นไทยปีนี้ยังถือว่าลดลงในระดับที่ต่ำกว่าตลาดหุ้นสำคัญๆ หลายแห่ง เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ไต้หวัน หรือเกาหลีใต้ ที่ปรับตัวลงในราว 20% แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา หุ้นไทยเองก็อาจจะเรียกได้ว่าปรับขึ้นได้น้อยกว่าตลาดอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
ในมุมของบรรดานักลงทุนรายใหญ่ที่เน้นลงทุนด้วยแนวทางของหุ้นคุณค่า (Value Investing) มองว่าบนความเสี่ยงและโอกาสที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ช่วงครึ่งปีหลังนี้ก็อาจจะเป็นจังหวะในการซื้อหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาวได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่
- 9 หุ้นสุดฮอต ค่า P/E Ratio สูงทะลุ 500 เท่า
- เช็ก! 10 หุ้น SETHD จ่ายเงินปันผลสูง
นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่ แนวลงทุนหุ้นคุณค่า (VI) เปิดเผยว่า การลงทุนในปีนี้อาจจะเรียกได้ว่า ‘นักลงทุนไม่มีทางเลือกมากนัก’ เพราะสินทรัพย์ต่างๆ ซึ่งก็รวมถึงหุ้น ถูกเทขายออกมา แต่โดยรวมแล้วหุ้นก็ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
“ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงมรสุม ต้องพยายามอย่าขยับมาก และหาที่ปลอดภัยพอสมควร ตอนนี้เป็นช่วงขาลงไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ทุกอย่างดีไปหมด เป้าหมายในช่วงนี้คงไม่ใช่การหาผลตอบแทนสูง แต่ต้องเน้นปลอดภัยไว้ก่อน โดยเฉพาะหุ้นที่ให้ปันผลสูงราว 4-5% และค่อนข้างมั่นคง”
ส่วนภาพรวมของตลาดหุ้นไทยหากลงต่อน่าจะเป็นการลงที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับต่างประเทศ เพราะก่อนหน้านี้หุ้นไทยไม่ได้ปรับขึ้นมากนัก แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก ทำให้เราต้องเลือกธุรกิจที่จะไม่ถูกกระทบรุนแรง เช่น สินค้าจำเป็น
สำหรับพอร์ตลงทุนหุ้นไทยในปีนี้ไม่ได้ปรับเปลี่ยนมากนัก ยังคงเน้นหุ้นที่ให้ปันผลดี แต่สำหรับพอร์ตลงทุนต่างประเทศอย่างเวียดนามยังมีการลงทุนเพิ่มบ้าง หลังจากตลาดปรับฐานลงมา 20% ทำให้ราคาหุ้นไม่แพงเท่าก่อนหน้านี้และสามารถเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น เพราะมีแรงขายออกมามาก
“ตอนนี้สัดส่วนพอร์ตเป็นหุ้นไทย 65% เวียดนามเกือบ 30% และที่เหลือเป็นเงินสดราว 5-6% แม้ว่าตอนนี้หุ้นไทยจะน่าสนใจน้อยกว่าแต่ด้วยความที่เราเข้าใจมากกว่า ทำให้ยังมีสัดส่วนหุ้นไทยเยอะ”
ด้าน ทิวา ชินธาดาพงศ์ อีกหนึ่งนักลงทุน VI ของไทย เปิดเผยว่า การจะประเมินภาวะตลาดในขณะนี้อาจจะใช้วิธีมองอย่างง่ายคือ ตอนนี้คนส่วนใหญ่กำลังพูดเรื่องอะไรไปในทิศทางเดียวกัน และเราจะเห็นว่าการลงของตลาดครั้งนี้ทุกคนพูดว่าเป็นผลจากเงินเฟ้อและความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ส่วนตัวมองว่าทั้งสองปัจจัยนี้ตลาดน่าจะรับรู้ไปแล้ว 80-90%
“ในจังหวะนี้หากเป็นการลงทุนระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้า ช่วง 3-5 เดือนต่อจากนี้น่าจะเป็นโอกาสในการซื้อ และดาวน์ไซด์ของหุ้นไทยไม่น่าจะมากแล้ว”
แต่สิ่งที่ต้องระวังในระยะสั้นคือ เงินเฟ้อของไทยที่ยังไม่ถึงจุดพีค แต่ท้ายที่สุดก็น่าจะไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศอื่นๆ และถ้ามองไปข้างหน้า เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเป็นภาพของการฟื้นตัวในอีก 2 ปีนับจากนี้
“เมื่อเงินเฟ้อผ่านจุดพีคไปแล้ว เชื่อว่ารัฐบาลของหลายประเทศจะเริ่มกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง ส่วนประเด็น Recession มองว่าน่าจะยังเป็นเพียงแค่ Technical Recession เท่านั้น”
สำหรับพอร์ตลงทุนในปีนี้มีการปรับบ้างระหว่างทาง อย่างการขายหุ้นไทยไปลงทุนในจีนบางส่วน โดยสัดส่วนพอร์ตลงทุนตอนนี้เป็นหุ้นไทยกว่า 60% จีน 25% เวียดนาม 1% สหรัฐฯ 1% และที่เหลือเป็นเงินสด ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะทยอยซื้อหุ้นจนครบ 100%
“ปีนี้พยายามขายหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มคนที่กำลังซื้อลดลง และพยายามเลือกหุ้นที่มีฐานลูกค้าที่ยังมีกำลังซื้อสูงเช่นเดิม”
ขณะที่ วีระพงษ์ ธัม นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) มองว่า ปัจจัยเสี่ยงสูงสุดของไทยในขณะนี้น่าจะเป็นเรื่องเงินเฟ้อ เพราะหนี้สูง ไม่ว่าจะเป็นหนี้สาธารณะหรือหนี้ส่วนบุคคล ทำให้เศรษฐกิจไทยอาจไม่ดีนักถ้าต้องขึ้นดอกเบี้ย
ส่วนโอกาสของหุ้นไทยอาจต้องมองข้ามไปปีหน้า แต่หากจะหวังให้ตลาดสามารถวิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ได้ อาจต้องเห็นการปรับโครงสร้างบางอย่าง หรืออาจจะต้องมีธุรกิจที่เป็น S-Curve ใหม่ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาเงินทุนไหลออกเหมือนหลายประเทศ เพราะตอนนี้ตลาดมีกลุ่มนักลงทุนไทยเป็นหลัก
“หุ้นไทยไซด์เวย์มานาน กึ่งๆ จะเป็น Lost Decade หลังจากที่ดัชนีวิ่งในกรอบ 1,200-1,800 จุด ซึ่งเราคงจะต้องหาผู้นำใหม่หรือ S-Curve ใหม่”
โดยภาพรวมแล้วการที่ราคาปรับฐานลงมารอบนี้ ทำให้ราคาหุ้นไม่ได้แพงเหมือนช่วงที่ผ่านมา แต่คิดว่ายังไม่ใช่จังหวะที่จะสร้างผลตอบแทนได้เป็นกอบเป็นกำ (Big Shot) และเมื่อเทียบหุ้นไทยกับต่างประเทศ จะเห็นว่ายังมีโอกาสอื่นที่น่าสนใจกว่าพอสมควร เช่น จีน สหรัฐฯ ซึ่งส่วนตัวแล้วก็กระจายพอร์ตไปลงทุนต่างประเทศราว 20-30%