หุ้นไทยร่วงแรง 18 จุด ดัชนีหลุดระดับ 1,700 อีกครั้ง หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดในไทยพุ่งสูงจนกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตือนภัยโควิดระดับ 4 ขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดชายแดนรัสเซียและยูเครนเริ่มคลายกังวล ดึงเงินต่างชาติกลับสู่ตลาดหุ้นพัฒนาแล้วอีกครั้ง นักวิเคราะห์จับตามาตรการจาก ศบค. ต่อเนื่อง ระบุหากเข้มข้นขึ้นอาจกระทบ Fund Flow
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (21 กุมภาพันธ์) ดัชนีปิดการซื้อขายที่ 1,694.32 จุด ลดลง 18.88 จุด หรือ 1.10% ระหว่างวันปรับลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 1,692.13 จุด มูลค่าการซื้อขาย 104,944.07 ล้านบาท
โดยหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายมากสุด 5 อันดับแรก คือ
- KBANK ปิดที่ 165 บาท -4 บาท หรือ -2.37% มูลค่าการซื้อขาย 7,158.37 ล้านบาท
- TRUE ปิดที่ 5.10 บาท -0.60 บาท หรือ -10.53% มูลค่าการซื้อขาย 4,936.79 ล้านบาท
- CPALL ปิดที่ 67 บาท +1.25 บาท หรือ +1.90% มูลค่าการซื้อขาย 3,694.20 ล้านบาท
- IVL ปิดที่ 46 บาท -3.75 บาท หรือ -7.54% มูลค่าการซื้อขาย 3,586.22 ล้านบาท
- PTT ปิดที่ 38.75 บาท -0.75 บาท หรือ -1.90% มูลค่าการซื้อขาย 3,169.08 ล้านบาท
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า หุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์โควิดภายในประเทศที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อปรับตัวสูงขึ้นจนน่ากังวล ทำให้ สธ. เตือนภัยโควิดระดับ 4 โดยยกระดับจังหวัดเสี่ยงสูงเป็นทุกจังหวัด
พร้อมขอความร่วมมืองดเข้าสถานที่เสี่ยง (เปิดเฉพาะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต) เลี่ยงการรวมกลุ่ม ชะลอการเดินทางข้ามพื้นที่ และทำงานที่บ้าน (Work from Home: WFH) เนื่องจากผู้ติดเชื้อโควิดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (13-19 กุมภาพันธ์) พบการติดเชื้อกระจายไปทั่วประเทศแล้ว โดยอัตราการติดเชื้อต่อประชากร 1 แสนคน พบผู้ติดเชื้อเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100 คน
ณัฐชาตกล่าวว่า การแถลงจาก สธ. ทำให้ตลาดเกิดความกังวลต่อสถานการณ์โควิดเพิ่มขึ้นหลังจากที่คลายกังวลมาระยะหนึ่ง และทำให้ตลาดรอติดตามมาตรการจาก ศบค. ว่าจะยกระดับขึ้นหรือไม่
สำหรับหุ้นที่ปรับลดลงค่อนข้างมากวันนี้ คือ หุ้นกลุ่ม Reopening และกลุ่ม Domestic Consumption เป็นส่วนมาก จึงตอกย้ำถึงความกังวลของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี ซึ่งเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะนำสถานการณ์โควิดในประเทศไปประกอบการพิจารณาการลงทุนเพิ่มด้วย
ส่วนอีกปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยในวันนี้ คือ ประเด็นเรื่อง Geopolitical Risk โดยหลังมีข่าวว่า โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ และ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ต่างเห็นชอบในหลักการหาข้อตกลงเพื่อไม่ให้รัสเซียบุกรุกดินแดนยูเครน ซึ่งกระแสข่าวดังกล่าวแม้จะเป็น Risk Sentiment ที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนได้จาก Index Futures ของตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐฯ ที่เริ่มฟื้นตัว แต่ไม่ได้เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก
“ข่าวนี้ส่งผลให้มีแรงขายสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคํา รวมถึงน้ำมันดิบที่ตลาดเคยมองว่าจะเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงทางด้านซัพพลายสูงสุด จนทําให้ราคาพุ่งขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่เคลื่อนไหวในทิศทางที่สอดคล้องกับสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่เกิดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ”
สำหรับแนวโน้มในระยะถัดไป เชื่อว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กจะกลับมาได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมาหุ้นใหญ่ปรับตัวขึ้นไปค่อนข้างมากรับอานิสงส์เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ โดยหุ้นกลาง-เล็กที่น่าจะโดดเด่นขึ้น คือ หุ้นที่เคยได้รับอานิสงส์เชิงบวกในช่วงที่โควิดแพร่ระบาดอย่างหนัก เช่น กลุ่มเฮลท์แคร์ ค้าปลีก และไอที
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP