ตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีแรกค่อนข้างย่ำแย่เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยดัชนี SET ติดลบไปราว 10% ลดลงจาก 1,668.66 จุดเมื่อปีก่อน มาอยู่ที่ 1,503.10 จุด
อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ผลตอบแทนของดัชนี SET ช่วงครึ่งปีแรกถือว่าแย่มากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก (MSCI World Index) ที่ให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12% นอกจากนี้หากไม่รวมความเคลื่อนไหวของหุ้น DELTA ดัชนี SET จะอยู่ที่ประมาณ 1,400 จุดต้นๆ เท่านั้น
สาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนไม่โดดเด่น ส่วนหนึ่งเพราะปัจจัยการเมืองในประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งประมาณการกำไรของตลาดที่ยังมีแนวโน้มถูกหั่นลงอยู่ ทำให้ครึ่งแรกของปีนี้ต่างชาติเทขายหุ้นไทยไปแล้วมากกว่า 1 แสนล้านบาท
สำหรับภาพรวมไตรมาส 3 เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยที่หลุดระดับ 1,500 จุด กำลังสะท้อนภาพการเมืองในประเทศที่ส่อแวววุ่นวายคือการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าและมีชุมนุมประท้วง โดย บล.ทิสโก้ มองว่า ดัชนีหุ้นไทยในไตรมาส 3 มีโอกาสลงทดสอบบริเวณ 1,450 จุด และในกรณีเลวร้ายที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยด้วย ดัชนี SET มีโอกาสลงทดสอบบริเวณ 1,400 จุด แต่น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี ก่อนมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นในช่วงปลายปีนี้
“การเมืองไทยนับถอยหลังการโหวตเลือกนายกฯ ในช่วงครึ่งหลังเดือนกรกฎาคมนี้ ในกรณีฐาน บล.ทิสโก้ ยังคงมุมมองเดิมว่า พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้รับการโหวตเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี แม้สถานการณ์ปัจจุบันความเป็นไปได้กรณีนี้จะลดลงก็ตาม
“อย่างไรก็ดี บล.ทิสโก้ แนะนำให้จับตาการโหวตเลือกประธานสภาเป็นลำดับแรก หากผลการโหวตเลือกประธานสภาไม่ใช่ตัวแทนที่มาจากพรรคก้าวไกล ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามกระแสข่าวที่ปรากฏก่อนหน้านี้ บล.ทิสโก้ มองว่าจะเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ดีว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในลำดับต่อไปอาจยืดเยื้อและไม่ราบรื่น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตลาด และจะเพิ่มโอกาสเกิดการพลิกขั้วหรือจับคู่ใหม่ในการจัดตั้งรัฐบาล ในกรณีหลังนี้ก็จะสุ่มเสี่ยงเกิดการชุมนุมประท้วงได้” อภิชาติกล่าว
นอกจากนี้ บล.ทิสโก้ มองทิศทางดอกเบี้ยยังมีความเสี่ยงที่จะปรับขึ้นสูงและนานกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยในอดีตธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าอัตราเงินเฟ้อเสมอประมาณ 1-2% จึงจะช่วยกดเงินเฟ้อให้ปรับตัวลงสู่ระดับเป้าหมายได้สำเร็จ แต่ระดับอัตราดอกเบี้ย Fed ในปัจจุบันอยู่เท่ากับระดับอัตราเงินเฟ้อเท่านั้น และแนวโน้มเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) อาจยังมีความหนืดอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 5% ต่อปีจากแนวโน้มราคาสินค้าเริ่มปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับการลงทุนในเดือนกรกฎาคม บล.ทิสโก้ แนะนำกลยุทธ์การลงทุนเป็น 2 ส่วนแบบสมดุลระหว่างหุ้นเชิงรับและหุ้นเชิงรุก (Barbell Strategy)
- หุ้นเชิงรับ เป็นกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่มีค่า Beta น้อยกว่า 1 เพราะน่าจะทนทานต่อความไม่แน่นอนของตลาดเดือนนี้ ได้แก่ ADVANC, BBL, BDMS และ CPALL
- หุ้นเชิงรุก เน้นหุ้นที่กำไรไตรมาส 2/66 จะเติบโตได้และราคาปรับตัวลงลึก ทำให้กลับมามีอัปไซด์น่าสนใจ ได้แก่ EGCO, HANA, MENA และ SISB
ทั้งนี้ แนวรับสำคัญของดัชนี SET เดือนนี้อยู่ที่ 1,450-1,460 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,420-1,430 จุด และแนวต้านสำคัญของ SET เดือนนี้อยู่ที่ 1,520-1,540 จุด และ 1,575 จุด ตามลำดับ