ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) วันนี้ (7 มีนาคม) ปิดที่ระดับ 1,626.70 จุด ลดลง 45.02 จุด หรือ 2.69% จากวันก่อนหน้า โดยระหว่างวันดัชนีลดลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,616 จุด หรือลดลง 55.64 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 เดือน
โดยวันนี้นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยถึง 6,583 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 2,293 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 2,881 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายบุคคลในประเทศ ซื้อสุทธิ 11,758 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียต่างปิดตัวในแดนลบ ส่วนมากติดลบราว 2-4% ด้าน ตลาดหุ้นยุโรปที่เปิดทำการในช่วงบ่าย (ตามเวลาประเทศไทย) ล่าสุดติดลบไปในระดับประมาณ 1-3% ส่วนตลาดหุ้นรัสเซียยังคงปิดทำการต่อไป
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า แรงกดดันหุ้นไทยในวันนี้คงต้องให้น้ำหนักเรื่องของน้ำมันเป็นหลัก หลังจากที่สหรัฐฯ และยุโรป หารือเรื่องการแบนการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล รับข่าวดังกล่าวในทันที
“ราคาน้ำมันในระดับนี้เริ่มเป็นระดับที่ทำให้เศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอตัวได้ รวมถึงเศรษฐกิจไทยที่เพิ่งตั้งหลักได้ไม่นาน ก่อนหน้านี้หุ้นไทยเหมือนเป็นหลุมหลบภัย ที่ระดับราคาน้ำมันบริเวณ 100 ดอลลาร์ แต่เมื่อราคาเป็น 130 ดอลลาร์ จะทำให้อานิสงส์ต่อหุ้นกลุ่มพลังงานจะไม่สามารถชดเชยผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มอื่นได้แล้ว”
ขณะเดียวกับตัวเลขเงินเฟ้อในไทยซึ่งเพิ่มขึ้น 5.28% ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ เวลานั้นราคาน้ำมันยังไม่ถึง 100 ดอลลาร์ เพราะฉะนั้นจึงมีโอกาสจะเห็นเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นต่อในเดือนมีนาคม และอาจจะลากยาวต่อเนื่องไปถึงเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ฐานเงินเฟ้อต่ำเมื่อปีก่อน
“จากสถิติในอดีต เมื่อเงินเฟ้อสูงเกินกว่า 5% ดัชนี SET มักจะให้ผลตอบแทนติดลบเสมอ ไม่ว่าจะเป็นระยะ 1, 3, 6 หรือ 12 เดือน และในแง่เศรษฐกิจ ต้นทุนของสินค้าคงจะสะท้อนออกมาในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า ทำให้เศรษฐกิจกับหุ้นไทยน่าจะซึมลง หรือดีสุดอาจจะแกว่งตัวออกข้าง”
จากจุดนี้หุ้นไทยมีโอกาสจะลงไปทดสอบระดับ 1,530 จุด ซึ่งเป็นกรอบล่างของดัชนี โดยอิงจากกำไรตลาดที่ 94 บาทต่อหุ้น แต่หากนักวิเคราะห์ปรับลดกำไรตลาดลงไปมากกว่านี้ก็จะทำให้หุ้นไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น
สำหรับนักลงทุนที่อาจจะชะลอการลงทุนมาก่อนหน้านี้ การทยอยเข้าซื้อตั้งแต่ระดับนี้อาจจะไม่เสียเปรียบนัก เพราะดัชนีปรับฐานลงมาพอสมควรแล้ว แต่กลุ่มหุ้นที่จะเลือกซื้อควรเลือกเป็นกลุ่มอย่างสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงหุ้นหลุมหลบภัย เช่น โรงพยาบาล และบริหารหนี้
ด้าน ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า ตลาดหุ้นในเอเชียรวมถึงไทยเริ่มเผชิญกับความกังวลในเรื่องของเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น เพราะการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาปรับขึ้นตามราคาน้ำมันเป็นเหมือนการนำเข้าเงินเฟ้อมาในประเทศ ซึ่งก็เริ่มเห็นสัญญาณจากตัวเลขเงินเฟ้อของไทยที่รายงานออกมาสูงกว่าคาด และทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาเป็นฝ่ายขายสุทธิทันที
“ก่อนหน้านี้ต่างชาติมองหุ้นไทยเป็น Safe Haven เพราะผลกระทบเงินเฟ้อจำกัด แต่เมื่อราคาน้ำมันขึ้นแรง ทำให้หุ้นที่ได้ประโยชน์จะมีแค่ไม่กี่ตัว ส่วนกลุ่มที่เสียประโยชน์จะมีค่อนข้างมาก”
นอกจากนี้การที่รัฐบาลจะเข้ามาช่วยเหลือประชาชนก็อาจจะกระทบต่อผู้ประกอบการหลายราย เช่น กลุ่มน้ำมัน และกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่อาจโดนตรึงราคาสินค้า
“การที่หุ้นปรับฐานรุนแรงเป็นผลจากการที่นักลงทุนโดยรวมเลือกปรับพอร์ตเพื่อช่วงชิงจังหวะ ขณะที่ต่างชาติยังมีโอาสจะขายต่อวันนี้ รวมทั้งแรงกดดันจากการบังคับปิดสถานะของ Block Trade”
การฟื้นตัวของดัชนีหลังจากนี้คงจะขึ้นอยู่กับเรื่องของราคาน้ำมันเป็นสำคัญ หากราคายังคงเพิ่มขึ้นต่อก็มีโอกาสที่หุ้นจะรีบาวด์เพื่อลงต่ออีกเช่นกัน
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP