จากสถานการณ์โควิดในประเทศไทยที่ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลง จนล่าสุด เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ศบค. ได้มีคำสั่งยกระดับมาตรการคุมเข้มรายจังหวัด โดยสั่งให้ 13 จังหวัด เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (ล็อกดาวน์) รวมถึงสั่งห้ามบุคคลในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 21.00-04.00 น. อีกทั้งสั่งให้ลดการเดินทางหรืองดเว้นภารกิจที่ต้องเดินทางออกนอกเคหสถานโดยไม่จำเป็น เว้นการเดินทางในบางกรณีที่จำเป็น เช่น ซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อาหาร ยาหรือเวชภัณฑ์ การเดินทางเพื่อพบแพทย์ สามารถทำได้แต่ต้องระมัดระวัง
การยกระดับมาตรการครั้งนี้ทำให้เกิดแรงกดดันต่อความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นในสัปดาห์หน้า (19-22 กรกฎาคม)
นักวิเคราะห์ประเมินความเคลื่อนไหวหุ้นไทยช่วง 19-23 กรกฎาคม เคลื่อนไหวแบบ Sideway รับแรงกดดันจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดรายวันที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยประเมินกรอบล่างดัชนีที่ 1,550-1,560 จุด และกรอบบนอยู่ที่ 1,580-1,590 จุด พร้อมแนะกลยุทธ์ลงทุนให้สลับมาลงทุนในหุ้น Global Play และโรงพยาบาลขนาดกลาง
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นไทยวันจันทร์นี้ (19 กรกฎาคม) น่าจะตอบรับเชิงลบต่อการยกระดับมาตรการควบคุมโควิด ซึ่งประกาศเมื่อเย็นวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเป็นการยกระดับมาตรการเพื่อบริหารสถานการณ์หลังจากผู้ติดเชื้อรายวันเกิน 1 หมื่นราย ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงลบในระยะสั้นเท่านั้น จากนั้นจะมีการรีบาวด์กลับ โดยมองกรอบดัชนีที่ 1,550-1,560 จุด เป็นกรอบล่าง ส่วนกรอบบนประเมินที่ 1,580-1,590 จุด
“ทุกครั้งที่มีการยกระดับมาตรการ ตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงลบในระยะสั้นๆ จากนั้นก็รีบาวด์กลับขึ้นมา แต่เรายังมองว่าดัชนีจะไปไม่ถึง 1,600 จุดในช่วงนี้ เนื่องจากเป็นฤดูประกาศผลประกอบการ (Earning Season) ซึ่งดัชนีจะแกว่งตัวแบบ Sideway อยู่แล้ว นักลงทุนจะรอขายทำกำไรเมื่อหุ้นประกาศกำไรไตรมาส 2/64 ออกมาดี และก็จะมีแรงซื้อในหุ้นที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก”
อย่างไรก็ตาม หากมีปัจจัยบวกใหม่ๆ โดยเฉพาะปัจจัยบวกที่ช่วยคลายสถานการณ์โควิดได้ทั่วโลก ตลาดหุ้นไทยก็จะแรลลี่ได้อีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้เปลี่ยนกลุ่มลงทุนจากหุ้น Domestic, Reopening และค้าปลีก มาในกลุ่ม Global Play เช่น กลุ่มส่งออก, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มพลังงานและโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็น Defensive Stock
วิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มหุ้นไทยสัปดาห์หน้าจะยังผันผวนตลอดสัปดาห์ และขึ้นอยู่กับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันเป็นหลัก โดยวันจันทร์นี้ (19 กรกฎาคม) ดัชนีน่าจะปรับลดลงทันทีที่เปิดการซื้อขาย แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,550 จุด
ขณะที่การยกระดับมาตรการล่าสุดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา มองว่า ยังไม่สามารถบรรเทาตัวเลขผู้ติดเชื้อลงได้และเชื่อว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเกิน 1 หมื่นรายต่อวันอีกเรื่อยๆ เนื่องจากตอนนี้เริ่มมีชุดทดสอบการติดเชื้อจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไป ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แท้จริงปรากฏเร็วขึ้น
“มองเป็นเรื่องดีที่มี Rapid Test ให้คนไทยสามารถซื้อตรวจเองที่บ้านได้ เพราะจะทำให้เราได้รู้ตัวเลขการติดเชื้อที่แท้จริงเร็วขึ้น ส่วนตัวเชื่อว่ายังมีผู้ติดเชื้อที่ไม่รู้ตัวเองอีกมาก เนื่องจากไม่แสดงอาการและจะทำให้คนในครอบครัวติดเชื้อไปด้วย เท่ากับอัตราเร่งก็คือคูณ 4 หรือคูณ 5”
เขากล่าวว่า สถานการณ์โควิดในไทยจะคลี่คลายได้ต้องเร่งตรวจและเร่งกระจายวัคซีนที่มีประสิทธิภาพควบคู่กันไป ซึ่งหากประเมินความสามารถในการตรวจและปริมาณวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในประเทศไทยแล้ว ยอมรับว่าคลี่คลายสถานการณ์ได้ยาก
กลุ่มที่เป็นหลุมหลบภัยคือกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับโควิด โดยชื่นชอบหุ้นโรงพยาบาลขนาดกลาง คือ BCH และ CHG ซึ่งแนวโน้มกำไรจะดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ส่วนไตรมาส 4 แนวโน้มกำไรอาจไม่โตมาก แต่ก็โตกว่ากลุ่ม
“หุ้นโรงพยาบาลขนาดกลางจะได้อานิสงส์จากการตรวจเชื้อโควิด การเข้ารับการรักษา การเพิ่มเตียง Hospitel อย่างต่อเนื่อง มองว่า BCH และ CHG จะเป็น Winner ได้ต่อเนื่องถึงปลายปี”
ทั้งนี้ อ้างอิงจากการเข้าร่วมงาน Analyst Meeting ที่จัดโดย BCH ได้รับมุมมองว่า แนวโน้มผู้ติดเชื้อโควิดในไทยในไตรมาส 3/64 อาจจะขึ้นไปถึงระดับ 9 แสน – 1 ล้านราย โดยเฉพาะวันที่ 1-15 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อไปแล้ว 130,000 ราย สูงกว่าไตรมาส 1/64 ที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อ 120,000 ราย ส่วนไตรมาส 2/64 ตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 580,000 ราย