×

4 หน่วยงานจับมือออก ‘ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดหุ้นไทย’ มี 4 มาตรการเร่งด่วน หวังฟื้นหุ้นไทยสิ้นปีนี้แตะ 1,415 จุด

06.10.2025
  • LOADING...
COVER - Thai Stock Measures Target 1415

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ร่วมแถลงข่าวเปิด “ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดหุ้นไทย” พร้อมเดินหน้าผลักดัน 4 มาตรการหลัก ได้แก่ Quality Demand – Attractive Supply – Trusted Market – Supportive Ecosystem

 

ศาสตราจารย์ ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่าจากการประชุมร่วมของคณะทำงานเพื่อพิจารณามาตรการปฏิรูปตลาดทุนไทย (Taskforce) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจาก สศค. ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ FETCO เพื่อระดมความเห็น วิเคราะห์ปัญหา และหาแนวทางส่งเสริมความสามารถของตลาดหุ้นไทย ให้แข่งขันได้และยืดหยุ่นต่อความท้าทาย เพื่อยังคงบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทย โดยคณะทำงาน Taskforce ได้ข้อสรุปร่วมกันและเสนอ ‘ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดหุ้นไทย’ มี 4 มาตรการหลัก พร้อมแผนการดำเนินการที่สำคัญเร่งด่วนในแต่ละมาตรการ ดังนี้

 

มาตรการ Quality Demand ประกอบด้วย

 

1. การสร้างวัฒนธรรมการลงทุนระยะยาวผ่านบัญชีการลงทุนส่วนบุคคล (Individual Investment Account) เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเปลี่ยนเงินออมเป็นเงินลงทุนระยะยาวและกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย มีการขยายฐานผู้ลงทุนกลุ่มใหม่ เพิ่มการให้บริการการลงทุนในตลาดหุ้นและผลิตภัณฑ์ของบริษัทหลักทรัพย์ รวมถึงสร้างศูนย์รวมข้อมูลพอร์ตของผู้ลงทุน (wealth aggregator)

 

2. การส่งเสริมบทบาทผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดทุนไทย

 

มาตรการ Attractive Supply ประกอบด้วย

 

1. การดึงดูดกิจการที่มีศักยภาพและคุณภาพเข้าสู่ตลาดทุนไทย

 

2. การยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในปัจจุบัน ผ่านโครงการ Jump+ และ Value Up Program

 

3. การปรับขั้นตอนการออกและเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ให้มีประสิทธิภาพและทำให้ตลาดทุนไทยเป็นที่น่าสนใจและสามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคได้

 

4. การปรับปรุงเกณฑ์การเข้าถึงแหล่งระดมทุนของ SME และ New Economy ให้น่าสนใจ

 

และ 5. การเปิดเผยข้อมูล ESG ตามมาตรฐาน ISSB และมุ่งผลให้เกิดการปฏิบัติจริง เพื่อดึงดูดผู้ลงทุนที่คำนึงถึงความรับผิดชอบด้าน ESG ในระดับสากล

 

มาตรการ Trusted Market ประกอบด้วย

 

1. การสร้างความเข้มแข็งในการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนและการบังคับใช้กฎหมาย

 

2. การยกระดับการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน (gatekeepers) เพื่อป้องปรามการกระทำที่ไม่เหมาะสม และ

 

3. การใช้เทคโนโลยีเพิ่มช่องทางเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของบริษัทขนาดกลางและเล็ก

 

CONTENT_1

ศาสตราจารย์ ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต.

 

มาตรการ Supportive Ecosystem ประกอบด้วย

 

1. การเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนในการสร้างผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย

 

2. นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการลงทุนของผู้ลงทุนรายย่อยและเปลี่ยนผ่านตลาดทุนสู่ตลาดทุนดิจิทัล

 

3 ทบทวนหลักเกณฑ์การซื้อขายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ลงทุน และ (4) การให้ผู้ลงทุนต่างประเทศสามารถใช้สิทธิ e-proxy ได้สะดวกยิ่งขึ้น

 

Quick Win ก.ล.ต. หลัง 4 เดือน เริ่มนับหนึ่งโครงการ TISA

 

ส่วน Quick Win ของมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทยในช่วง 4 เดือนข้างหน้านั้น มองว่าหากมาตรการทำได้ภายใน 4 เดือนและสอดคล้องกับการสนับสนุนร่วมกันกับทางภาครัฐก็เชื่อว่าน่าจะเห็นการติดกระดุมเม็ดแรกของตัว Individual Savings Account หรือ โครงการ TISA เป็นรูปธรรมว่าโครงการนี้จะเดินหน้าอย่างไรเป็นโครงการแรก ซึ่งเร่งขึ้นมาจากแผนเดิมที่หากทำกันเองอาจเห็นสเต็ปแรกภายในช่วงปลายปี 69

 

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ต้องการเห็นการแก้ปัญหาของตัว IPO ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้พูดคุยกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ระดับหนึ่งแล้วว่า ก.ล.ต. จะร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อดึงดูดกลุ่ม New Growth ได้อย่างไร ซึ่งในแง่ของ ก.ล.ต. จะดูว่ากฎเกณฑ์บางเรื่องที่เริ่มเฮียริ่งหรือแนวทาง โดยสำนักงาน ก.ล.ต. ก็จะมีแผนที่ผ่านคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ และสื่อสารออกสื่อสาธารณะในช่วงต้นเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถทยอยเห็นความชัดเจนของแผนดำเนินการภายใน 4 เดือนจากนี้

 

เร่งปรับเกณฑ์ดึงต่างชาติทำ IPO ใน 4 เดือน

 

ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ภายหลังการหารือเกี่ยวกับทิศทางตลาดทุนไทยว่า FETCO กำลังเร่งผลักดันการปรับปรุงกระบวนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียน (IPO) เพื่อดึงดูดกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ New Sector เข้ามาในตลาดทุนไทย ซึ่งจะเป็นหนึ่งใน Quick Win ที่สำคัญของตลาดทุนและรัฐบาลชุดนี้

 

ดร. กอบศักดิ์ ชี้ว่า ปัจจุบันหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหุ้นในกลุ่ม Large Cap ยังคงมีบริษัทเดิมๆ ที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น ปิโตรเคมี และธนาคาร มาเป็นเวลานาน ทำให้ขาดแคลนหุ้นที่เป็น New Sector ที่นักลงทุนต้องการ

 

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีบริษัท
จำนวนมากทั่วโลกที่แสดงความสนใจอยากเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และหลายบริษัทอยู่ในกลุ่ม New Sector

 

ทั้งนี้ FETCO ได้มีการหารือกับผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ และทาง BOI หลายครั้ง ซึ่งทาง BOI เปิดกว้างในเรื่องนี้ ดร. กอบศักดิ์ เชื่อว่า สิ่งที่เหลืออยู่คือการปรับปรุงกฎเกณฑ์ ทั้งในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) BOI เอง และกระทรวงการคลัง โดยคาดว่าเรื่องของการปรับปรุงกระบวนการ IPO นี้ น่าจะสามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นได้ภายใน 4 เดือน

 

โดยเน้นย้ำว่า หัวใจสำคัญคือการสร้างอนาคตผ่านการนำบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมใหม่ๆ (New S-Curve) เข้าสู่ตลาดทุน เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ที่ซบเซา

 

ดร. กอบศักดิ์ ชี้ว่า ดัชนี SET ที่ปรับตัวได้ไม่ดี เนื่องจากตลาดขาดกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ อย่างสิ้นเชิง ขณะที่องค์ประกอบหลักของ Market Cap ในปัจจุบันประกอบด้วยกลุ่มปิโตรเคมีถึง 30% และกลุ่มธนาคารอีก 10% โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมีกำลังเข้าสู่ช่วง ‘Sunset’ และกลุ่มธนาคารก็มีกำไรที่จำกัด นอกจากนี้ ห่วงโซ่อุปทานของญี่ปุ่นก็กำลังลดขนาดลง (Downside) เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี

 

ตั้งเป้านำร่อง 2-3 บริษัทขนาดใหญ่ Market Cap ทะลุหมื่นล้าน

 

FETCO กำลังพิจารณาบริษัทต่างชาติ 2-3 ราย เพื่อเป็นกรณีนำร่อง หรือ Pilot Projects ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย บริษัทเหล่านี้ไม่ใช่บริษัทขนาดเล็กหรือขนาดกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้า IPO ในปัจจุบันและแทบไม่ได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของตลาดเลย

 

บริษัทที่ตั้งเป้าหมายไว้เป็นโรงงานขนาดใหญ่และอยู่ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยคาดว่าจะมี Market Cap ขนาดใหญ่ ในระดับหมื่นล้านบาท และอาจสูงถึงแสนล้านบาท โดยอุตสาหกรรมที่กำลังให้ความสนใจคือกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor), อิเล็กทรอนิกส์, และ Data Center

 

ดร. กอบศักดิ์ ระบุว่า ปัจจุบัน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไทยมีทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยเฉพาะบริษัทจากไต้หวันซึ่งต้องการย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคนี้

 

ปลดล็อกกฎเกณฑ์ ลดความเหลื่อมล้ำกับบริษัทไทย

 

เพื่อดึงดูดบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้ FETCO ได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เกี่ยวกับการปรับปรุงกฎเกณฑ์
ปัจจุบัน ปัญหาหลักของบริษัทต่างชาติที่ทำกำไรในไทยและต้องการขยายกิจการคือ กฎเกณฑ์ที่กำหนดให้ต้องมีกำไรติดต่อกัน 3 ปีเพื่อเข้าจดทะเบียน ดร กอบศักดิ์ เชื่อว่า หากเป็นบริษัทประเภทเทคโนโลยีและ New S-Curve อาจพิจารณาให้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันได้ เช่น ไม่ต้องรอการมีกำไร 3 ปี โดยอาจเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบริษัทที่เข้าสู่ตลาดหุ้นไทยผ่านช่องทาง BOI

 

ส่วนประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำกับบริษัทไทยนั้น ทาง ดร. กอบศักดิ์ ย้ำว่า ไม่ต้องกังวลใจ เนื่องจากมาตรการนี้จะใช้กับบริษัทที่เป็น New S-Curve/Tech เพียงไม่กี่บริษัท ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศต้องการโดยรวม

 

CONTENT_2

ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย บรร(FETCO)

 

ชี้ไทยได้ประโยชน์จากความไม่มั่นคงของโลก

 

แม้ว่าในอดีตไทยอาจไม่เคยคิดจะนำต่างชาติเข้าสู่ตลาดหุ้นมากนัก แต่ปัจจุบัน ประเทศไทยมีเสน่ห์ดึงดูดนักลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงและความขัดแย้งหลายจุด

 

  • บริษัทจำนวนมากกำลังย้ายฐานออกจากประเทศจีน
  • บริษัทไต้หวันมีความกังวลเรื่องความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
  • ยุโรปก็มีความกังวลใจอย่างมากจากสถานการณ์สงคราม

 

ไทยจึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม (Gateway) ในเอเชียสำหรับบริษัทที่ต้องการตั้งฐานการผลิตและทำธุรกิจ โดย ดร. กอบศักดิ์ เผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศแสดงความสนใจต่อประเทศไทยมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่ม Fund Manager

 

นอกจากบริษัทใหญ่แล้ว ไทยยังควรเปิดประตูรับ Startup ทั่วโลกที่กำลังเผชิญปัญหาในประเทศต้นทางด้วย โดยมีเงื่อนไขว่าเมื่อเข้ามาในไทยแล้ว ควรจดทะเบียนในประเทศไทย ไม่ใช่สิงคโปร์ เพื่อสร้าง Market Cap ใหม่ๆ

 

ดร. กอบศักดิ์ หวังดัน GDP โตแตะ 3% ในปี 2571

 

ดร. กอบศักดิ์ ยอมรับว่า ตัวเลข GDP ในระยะสั้นอาจดูน่ากังวล โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ปีนี้ที่มีการคาดการณ์ว่าจะเหลือ 0.3% แต่หัวใจคือการสร้างอนาคตข้างหน้า

 

ดร. กอบศักดิ์ ยังเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับการลงทุนของญี่ปุ่นในอดีต โดยเมื่อ FDI ขนาดใหญ่หลั่งไหลเข้ามา จะนำมาซึ่งการส่งออกและการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน หาก FDI เหล่านี้ก่อสร้างเสร็จสิ้นภายใน 3 ปีข้างหน้า การเติบโตของ GDP ที่ 3% จะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับประเทศไทย

 

ทั้งนี้ รัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับการ ‘เปิดประตู’ แก้ไขอุปสรรคต่างๆ ซึ่งรวมถึงปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ปัญหาไฟฟ้าไม่เพียงพอในพื้นที่ EEC สำหรับรองรับ Data Center ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้กล่าวถึงและเตรียมดำเนินการแก้ไขแล้ว

 

“ถ้าเรากำลังสร้างอนาคตอย่างปัจจุบันนี้ และได้ผลลัพธ์ตามแผนที่วางไว้ ผมไม่กังวลใจ ผมมั่นใจว่า GDP growth กลับมาโตได้แน่ๆ 3% ภายในปี 2571” ดร. กอบศักดิ์ กล่าว

 

ในส่วนของเป้าหมายดัชนี SET Index จากพบนักลงทุนสถาบันต่างชาติเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทางสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) มองว่าเป้าหมายสิ้นปีนี้ที่ 1,415 จุด เป็นระดับที่ไปถึงได้

 

ดร. กอบศักดิ์ ได้ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมจากที่ได้คุยกับเลขาธิการ BOI เมื่อช่วงต้นปีว่า มีบริษัทผู้ผลิต EV สัญชาติจีนที่แสดงความสนใจ นอกจากการสร้างโรงงานแล้ว บริษัทดังกล่าวยังต้องการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ในประเทศไทย โดยจ้างบุคลากรประมาณ 2,000 คน พร้อมทั้งต้องการให้ประเทศไทยเป็นสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาค (Regional Headquarter) และที่สำคัญที่สุดคือ บริษัทนี้มีความต้องการที่จะมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยด้วย

 

กรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ดีมาก หากสามารถปลดล็อกให้บริษัทเช่นนี้เข้ามาจดทะเบียนได้สำเร็จ จะเป็นกำลังใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับบริษัทอื่น ๆ ในการวางแผนเข้ามาจดทะเบียนตามมา

 

ดร. กอบศักดิ์ ย้ำถึงความฝันในระยะยาวว่า หากมองย้อนกลับไป 25 ปีที่ผ่านมา ชื่อบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ซึ่งแตกต่างจากตลาดอื่น ๆ เช่น S&P ที่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทไปมากแล้ว ดังนั้น จุดเริ่มต้นในการดึงดูดบริษัทใหม่ๆ ต้องเริ่มจากขนาดเล็กและขนาดกลางก่อน (Startup และ SME) เพื่อให้มี New Economy เข้ามาในตลาดทุนมากขึ้น

 

เปิดความคืบหน้าปฏิรูปการออมระยะยาว

 

ในส่วนของการปฏิรูปการออมระยะยาว ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงการ TISA และเรื่อง ‘Quality’ ที่เคยมีการพูดคุยกันก่อนหน้านี้ ดร. กอบศักดิ์ เปิดเผยว่า เรื่องนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมมาเป็นเวลานานแล้ว

 

โดยโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออมระยะยาว เช่น โครงสร้างการออมที่เป็นเสาหลัก (Pillar) รวมถึงกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ เช่น RMF, ESG และ SSF ในเสาหลักที่ 2 รวมถึงเสาหลักที่ 3 ที่เน้นการออมส่วนบุคคลและสำหรับการออมของเด็ก ได้มีการพูดคุยอย่างกว้างขวางกับหลายฝ่าย ทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. ภาคอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง

 

ดร กอบศักดิ์ ระบุว่า การดำเนินการส่วนที่เหลือคือการหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อกำหนดรายละเอียดว่ามีส่วนใดที่ต้องการการส่งเสริมและต้องการแรงจูงใจด้านภาษีอย่างไรบ้าง การหารือในส่วนนี้ถือว่ามีขั้นตอนเล็กน้อยและน่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

ตลท. ดันโครงการ Jump+ เป็นมาตรการ Quick Win

 

ขณะที่อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า มาตรการที่เป็น Quick Win ของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ โครงการ Jump+ ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 61 แห่ง ที่เข้ามาร่วมโครงการแล้วและยังคงมีเข้ามาเพิ่มต่อเนื่อง จึงคาดว่าช่วงปลายปีนี้หรือไม่เกินช่วงต้นปี 69 จะมีการออกไปสื่อสารว่าแผนของแต่ละบริษัทที่ร่วมในโครงการ Jump+ มีความน่าสนใจอย่างไร เพราะจะเป็นการสร้างความสนใจของนักลงทุนให้กับตลาดทุนไทยได้มากขึ้น พร้อมเชื่อว่าสิ่งนี้น่าจะเห็นผลเร็วที่สุด

 

CONTENT_3

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

 

สศค. หวังตลาดทุนดึงดูดธุรกิจมีศักยภาพเข้ามาระดมทุน

 

ส่วน ดร. วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สศค. กล่าวว่า ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทยนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการเสริมสร้างศักยภาพให้ตลาดทุนไทยมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เพราะเมื่อตลาดทุนสามารถดึงดูดธุรกิจที่มีศักยภาพให้เข้ามาระดมทุน จะช่วยเพิ่มโอกาสของประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ

 

CONTENT_4

ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สศค.

 

รวมทั้งเพิ่มจำนวนนักลงทุนในตลาดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ตลาดทุนไทยมีประสิทธิภาพในการเป็นแหล่งระดมทุนเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป ซึ่งมาตรการเหล่านี้ยังสอดคล้องกับแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2565 – 2570) ที่หน่วยงานด้านตลาดทุนได้ดำเนินการมาโดยตลอด และขณะเดียวกันก็ถือเป็นมาตรการ Quick Win ที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ในระยะสั้น แต่ส่งผลต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจด้านนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการพัฒนาตลาดทุนในภาพรวม

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising