เสน่ห์อย่างหนึ่งของตลาดหุ้นไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาคือ สภาพคล่อง หรือความซื้อง่ายขายคล่อง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ หรือเวียดนาม แต่ปัจจุบันเสน่ห์ที่ว่านี้ดูเหมือนกำลังจะค่อยๆ เลือนหายไป
นอกจากเรื่องของสภาพคล่อง ต้องยอมรับว่าหุ้นไทยเต็มไปด้วยปัญหารุมเร้า ไล่ตั้งแต่ผลตอบแทนที่แย่ลง ทำให้ปัญหาต่างๆ ค่อยๆ ผุดตามขึ้น ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างที่เราขาดหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมใหม่ ปัญหาธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน ที่ผ่านตลาดหุ้นไทยกลายเป็นเครื่องพิมพ์เงินสำหรับคนที่ไม่สนใจกฎกติกา
นักลงทุนรายย่อยค่อยๆ หายออกไปจากตลาด ทั้งจากหุ้นไทยที่ย่ำแย่ลง และทางเลือกใหม่ที่ดูเหมือนจะสดใสมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการออกไปลงทุนต่างประเทศ หรือสินทรัพย์ใหม่ๆ ที่มีให้เลือกมากขึ้น
หุ้นไทย ณ ปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร อะไรคือสิ่งที่กำลังแย่ลง อะไรคือเรื่องราวที่ยังน่าประทับใจ และอะไรคือความหวังที่ยังหลบซ่อนอยู่ นี่คือ บทสรุปหุ้นไทย 6 ข้อ ในปี 2025
1. หุ้นไทยติดลบ 3 ปีติด ครั้งสุดท้ายคือวิกฤตต้มยำกุ้ง 27 ปีก่อน
ดัชนี SET ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2025 ปิดที่ 1,259.25 จุด ลดลง 10% จากปีก่อน ขณะที่ยังเหลืออีก 2 วันทำการในปีนี้ คือ 29 – 30 ธันวาคม หากดัชนีไม่สามารถกลับไปยืนเหนือ 1,400.21 จุด เท่ากับว่าหุ้นไทยจะปรับตัวลงเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
ครั้งสุดท้ายที่หุ้นไทยร่วงลงต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน ต้องย้อนกลับไปถึง 27 ปีก่อน ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่หุ้นไทยปรับตัวลง 5 ปีติด จากราว 1,700 จุด ช่วงต้นปี 1994 ไปทำจุดต่ำสุดในที่ 204.59 จุด ในปี 1998
ในความเป็นจริงแล้ว ตลอดประวัติศาสตร์หุ้นไทยตั้งแต่ปี 1982 หุ้นไทยแทบไม่คิดปรับตัวลงติดต่อกัน 2 ปีติด ที่ผ่านมาถ้าปีไหนที่หุ้นไทยปรับตัวลง ปีถัดมาก็จะฟื้นตัวได้ไม่มากก็น้อย จะมีเพียงแค่ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง และช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น
“ความจริงของประเทศไทยถูกเฉลยออกมา นักเศรษฐศาสตร์หลายคนบอกว่าเรากินบุญเก่าหมดแล้ว สมัยก่อนเราไปกับโลกได้ ยังเป็นส่วนหนึ่งของโลก แต่หลังโควิด-19 เราโดนทิ้งเลย” ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด มองว่า นี่คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้หุ้นไทยย่ำแย่ต่อเนื่อง
ประกิตกล่าวต่อว่า ช่วงกินบุญเก่าเราไม่เคยวางรากฐานใหม่เลย โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี หรือแม้แต่ปัจจุบันรัฐไทยก็ยังไม่มีความพร้อมสำหรับการสนับสนุนภาคเอกชน ทำให้เอกชนไปต่อไม่ได้ เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก
ถ้ามองโดยภาพรวม ตลาดหุ้นไทยจะซึมลงไปเรื่อยๆ เพราะบริษัทไร้คุณภาพยังมีมาก เงินทุนจะไหลออกจากบริษัทเหล่านั้น ส่วนบริษัทที่ยังประคองได้ จ่ายปันผลดี ก็จะยังมีเม็ดเงินไหลเข้า โดยรวมหุ้นใหญ่อาจจะยังยืนอยู่ได้ ส่วนบริษัทขนาดเล็กจะยิ่งแย่
2. สภาพคล่องหายไปเกือบครึ่ง
ช่วง 6 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยหายไปเกือบครึ่ง จากที่เคยขึ้นไปพีกถึง 21 ล้านล้านบาท ในปี 2021 ลดลงมาเหลือเพียง 9.7 ล้านล้านบาท ลดลงมาต่อเนื่อง 4 ปีติดต่อกัน
แน่นอนว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันก็ลดลงไปมากเช่นกัน จากเฉลี่ย 6.45 หมื่นล้านบาท ระหว่างปี 2020 – 2024 ลงมาเหลือ 4 หมื่นล้านบาท ในปีนี้
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า หุ้นไทยปี 2025 แย่ลงด้วย 3 ปัจจัยหลัก คือ 1) การเมืองไม่นิ่ง หลังจากเปลี่ยนนายกรัฐนตรีถึง 3 คน 2) ไทยไม่มีหุ้นเทคโนโลยีเลย ทำให้ผลงาน underperform อย่างมาก และ 3) เศรษฐกิจไทยแย่
ขณะที่ ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ บอกว่า ปริมาณการซื้อขายที่หายไปคือ ‘รายย่อย’ ส่วนหนึ่งเพราะความน่าเบื่อของหุ้นไทย และอีกส่วนคือกระแส AI เพราะฉะนั้นด้วยทางเลือกลงทุนที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างการลงทุนต่างประเทศที่ง่ายมากขึ้น จึงดึงดูดเม็ดเงินออกไปจากตลาดหุ้นไทย
เท่ากับว่าตลาดหุ้นไทยตอนนี้ครองโดยต่างชาติ ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งเป็น Program Trading และ Robot Trading
3. ต่างชาติเทขาย ‘แสนล้าน’ 3 ปีติด
นักลงทุนต่างชาติที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมาโดยตลอด ล่าสุดยังคงเป็นฝ่ายขายสุทธิเกินระดับ 1 แสนล้านบาท ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน รวมๆ แล้วขายออกไปราว 4.4 แสนล้านบาท และถ้ามองย้อนไป 6 ปีล่าสุด ต่างชาติขายออกไป 5.5 แสนล้านบาท

ณัฐชาตบอกว่า การขายต่างชาติช่วงหลังมาจาก Passive Fund ค่อนข้างมาก แต่ Active Fund ไม่ได้มีหุ้นไทยมาหลายปีแล้ว การร่วงลงของหุ้นไทยตลอด 8 ไตรมาสที่ผ่านมา ยิ่งทำให้น้ำหนักของหุ้นไทยบนดัชนีสากล เช่น MSCI หรือ FTSE ลดลงโดยอัตโนมัติ ทำให้ทุกๆ ปลายไตรมาส จะเห็นหุ้นไทยถูกลดน้ำหนัก ก่อนจะตามมาด้วยแรงขายของต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
เพราะฉะนั้นแรงขายต่างชาติจะหยุดเมื่อหุ้นไทยหยุด Underperform ซึ่งจะเกิดขึ้นได้คือ ตลาดหุ้นโลกเข้าสู่ขาลง ซึ่งหุ้นไทยมีโอกาสลงน้อยกว่า ทั้งนี้ขึ้นกับว่ากระแสหุ้นเทคโนโลยีหรือ AI จะไปต่อหรือไม่ ถ้ายังมีกระแสอยู่ ก็มีโอกาสที่จะ Underperform ต่อเนื่อง
แต่หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือ ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งในเดือนธันวาคม ถือเป็นเดือนที่ 2 ของปี 2025 ที่ต่างชาติซื้อสุทธิ หลังจากขายต่อเนื่องมา 5 เดือนติดต่อกัน ซึ่งภาดลมองว่า “เป็นสัญญาณที่ดีจากการซื้อปิดปลายปี”
4. IPO แห้งเหือด
อีกหนึ่งประเด็นที่น่ากังวลสำหรับตลาดหุ้นไทยคือ หุ้น IPO ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับปี 2025 มีหุ้น IPO ที่เข้า SET เพียง 6 บริษัท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 5.47 พันล้านบาท และมีหุ้น IPO เข้า mai อีก 12 บริษัท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 3.51 พันล้านบาท โดยทั้ง 18 บริษัทนี้มีมูลค่าหลักทรัพย์ (Market Cap.) ณ ราคา IPO รวมกัน 7.77 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขเหล่านี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัดจากหลายปีที่ผ่านมา อย่างปี 2024 ที่เริ่มซบเซา ก็มีหุ้นไอพีโอรวม 32 บริษัท มูลค่าระดมทุนก็ยังรวมกัน 2 หมื่นล้านบาท และมีมาร์เก็ตแคปรวม 1.12 แสนล้านบาท
ส่วนปี 2023 มีหุ้น IPO รวม 40 บริษัท ระดมทุนรวม 3.82 หมื่นล้านบาท และมีมาร์เก็ตแคปรวมกัน 1.73 แสนล้านบาท
นอกจากปริมาณและมูลค่าจะลดลงแล้ว คุณภาพของ IPO ก็เป็นอีกสิ่งที่นักลงทุนตั้งคำถามในวงกว้าง หากไล่ดูหลายต่อหลายบริษัทเข้ามาจดทะเบียน จะเห็นว่าราคาหุ้นต่างไหลลงเมื่อเวลาผ่าน ขณะที่ธุรกิจก็ไม่ได้เติบโตดีอย่างที่หลายคนคาดหวัง
5. หุ้นปันผล คือผู้ชนะ
ท่ามกลางปัจจัยลบและปัญหาที่รุมเร้า หุ้นไทยยังมีแสงสว่างอยู่บ้าง หนึ่งในนั้นคือ หุ้นปันผล ภาดลบอกว่า ตอนนี้หุ้นไทยในกลุ่ม SET 50 และ SET 100 เกินครึ่งมีอัตราเงินปันผลไม่น้อยกว่า 4% – 5% ขณะที่มูลค่าก็ยังไม่สูงนัก หากตัดหุ้น DELTA ออกดัชนีหุ้นไทยจะต่ำกว่านี้อีกราว 100 จุด เท่ากับว่า Forward P/E ของหุ้นไทยจะลดลงไปเหลือ 12 เท่า จากกว่า 13 เท่า
ข้อมูลจาก บล.ทรีนีตี้ สะท้อนให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2021 หากเปรียบเทียบดัชนี SET, SET 50, SET 100, SETHG และ SETESG จะเห็นว่าหุ้นกลุ่มปันผลสูงหรือ SETHD ให้ผลตอบแทนรวม (Total Return: ผลตอบแทนรวมจากส่วนต่างราคาและเงินปันผล) ชนะดัชนีอื่นทั้งหมด โดยเฉพาะปี 2025 นี้ที่ SETHD ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกราว 6% – 7% สวนทางกับดัชนีอื่นๆ ที่ติดลบไปกว่า 5%

ณัฐชาตบอกว่า เสน่ห์ของหุ้นไทยช่วงหลังคือ เงินปันผล เพียงอย่างเดียว เพราะไม่มีการเติบโต หลายบริษัทเข้าสู่ภาวะเติบโตเต็มที่ หุ้นหลายตัวไม่เติบโต แต่ฐานะการเงินยังแข็งแกร่ง จ่ายเงินปันผลได้
“หากวัดกำไรและการเติบโต (หุ้นไทย)คงจะสู้ไม่ได้ ช่วงหลังหุ้นไทยสู้ได้อยู่ 2 เรื่อง คือ เงินปันผลและความถูก”
6. ความหวังของหุ้นไทยอยู่ตรงไหน?
หุ้นไทยเวลานี้ต้องยอมรับว่าอยู่บนสถานการณ์ที่ย่ำแย่ แม้ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เราจะได้เห็นความพยายามในการพลิกฟื้นตลาดหุ้นไทยผ่านการ ‘ยกเครื่อง’ กฎเกณฑ์ในการกำกับดูแล หรือความพยายามในการออกมาตรการหรือโครงการกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นการรื้อฟื้นกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง มาช่วยเรียกความเชื่อมั่น หรือการพยายามผลักดันโครงการ TISA เพื่อดึงเม็ดเงินใหม่เข้ามาในตลาด รวมทั้งโครงการ JUMP+ ที่หวังจะแก้ปัญหาและยกระดับธรรมาภิบาลในตลาดหุ้นไทยอย่างจริงจัง
ประกิตมองว่า “ทางออกของหุ้นไทยคือ ความเชื่อมั่น ต้องเรียกความเชื่อมั่นกลับมาให้ได้ก่อน และตลาดทุนที่ผ่านมาหละหลวม กฎระเบียบเยอะจริง แต่เป็นกฎระเบียบเข้มงวดกับคนทำดี แต่เปิดช่องให้คนไม่ดีเข้ามาย่ำยี ซึ่งปัจจุบันเราได้เห็นความพยายามปรับปรุงช่วงกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา”
ภาดลเชื่อว่า สภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้นในปีหน้า เมื่อดอกเบี้ยลดลงอีก จะเริ่มเห็นการหมุนเงินจากเงินฝากมาสู่หุ้นปันผลมากขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมที่หลายคนอาจจะยังมองข้ามไปคือ กลุ่มปิโตรเคมีทั่วโลก หากสงครามหลายประเทศเริ่มสงบลง เราจะเริ่มเห็นการซ่อมสร้าง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความต้องการปิโตรเคมี ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้ของไทยจะได้อานิสงส์ด้วย
แล้วถ้ามองในภาพรวมสำหรับปี 2026 หุ้นไทยยังจำเป็นสำหรับพอร์ตลงทุนอยู่หรือไม่ ณัฐชาตมองว่าในระยะสั้นคือช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 มีโอกาสจะเห็นหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปได้อีกราว 5% ส่วนหนึ่งจากการเข้ามาซื้อเพื่อรอรับเงินปันผลประจำปี และแรงหนุนจากการเลือกตั้ง ที่อาจจะกระตุกความเชื่อมั่นกลับมาได้
หากมองภาพรวมทั้งปี 2026 สรพล วีระเมธีกุล หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มองว่า เป้าหมายของดัชนี SET อยู่ที่ 1,375 จุด อิงจากกำไรต่อหุ้น (EPS) 90.5 บาท เติบโต 3% และอิงกับ P/E 15.1 – 15.2 เท่า
คาดการณ์กำไรดังกล่าวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาด 4-5% คิดเป็นกำไรประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ขณะที่แนวโน้ม GDP น่าจะเติบโตเพียง 1.6% ส่วนที่ยังเติบโตได้หนุนจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่น่าจะเพิ่มขึ้นจาก 32.9 ล้านคน เป็น 34.1 ล้านคน
ส่วนความเสี่ยงสำคัญคือการบริโภคชะลอตัว และการส่งออกที่มาจากฐานสูงในปี 2025 และการใช้จ่ายภาครัฐที่ชะงักไป
ปัจจัยบวกของตลาดหุ้นไทยยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง โดยเฉพาะสภาพคล่องของบริษัทจดทะเบียน คาดว่าปี 2026 จะเห็นการจ่ายปันผลของหุ้นไทยทำสถิติใหม่ราว 6.5-7 แสนล้านบาทต่อปี ทำให้ ROE จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 9% จากราว 7%
ภาพ: da-kuk/Getty Images, Yuichiro Chino/Getty Images, Long Duk Yiw / Contributor/Getty Images


