ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในโหมดผันผวนสูง หลังจากช่วงปลายสัปดาห์ก่อนต่อเนื่องถึงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี SET ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี ที่ประมาณ 1,461 จุด กลับไปแตะระดับ 1,520 จุด แต่หลังจากนั้นดัชนีปรับตัวลดลงมาอีกครั้ง โดยล่าสุดดัชนีติดลบไปมากสุด 22 จุดในวันนี้ แตะระดับ 1,486 จุด
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักวิเคราะห์อย่าง ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า ดัชนี SET ไม่น่าจะหลุดลงไปต่ำกว่า 1,461 จุด หรือทำจุดต่ำสุดใหม่ หากสถานการณ์การเมืองไม่ได้วุ่นวายมากจนถึงขั้นมีการประท้วงบนท้องถนน
“ก่อนหน้านี้หุ้นไทยค่อนข้าง Underperform ไปมากแล้ว ถ้าดัชนีลดลงไปบริเวณนั้นแนะนำให้ซื้อ”
ส่วนโอกาสของการเข้าซื้อนั้นอาจจะยังไม่ใช่ช่วงเวลานี้ โดยอาจรอให้เริ่มเห็นความชัดเจนของการลงคะแนนเสียงในสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีเสียก่อน ซึ่งส่วนตัวมองว่าการลงคะแนนเสียงรอบแรกในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ อาจยังไม่ได้ข้อสรุป และอาจต้องไปลุ้นอีกครั้งในวันที่ 19 และ 20 กรกฎาคมนี้
หากเป็นกรณีที่พรรคก้าวไกลได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อาจทำให้หุ้นบางกลุ่มถูกเทขายออกมาก่อน แต่หลังจากนั้นจะเห็นการฟื้นตัวได้จากความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะตามมา
ส่วนปัจจัยเรื่องผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวม กลุ่มที่น่าจะเติบโตดีทั้งจากไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีก่อนคือ ธนาคาร, เครื่องดื่ม, สนามบิน, สื่อสาร และผู้ให้บริการด้านดิจิทัล ส่วนกลุ่มที่ผลประกอบการน่าจะย่ำแย่ ได้แก่ พลังงาน, ปิโตรเคมี, ไฟแนนซ์ และรับเหมาก่อสร้าง
ด้าน ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ช่วงหนึ่งเดือนข้างหน้าเชื่อว่าดัชนี SET ไม่น่าจะลดลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่ จากเรื่องของ Valuation เช่น สถิติ Price-to-Book ในอดีตที่จุดต่ำสุดเฉลี่ยอยู่ที่ราว 1.39 เท่า คิดเป็นระดับดัชนีประมาณ 1,450-1,460 จุด
ส่วน 2 ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามหลังจากนี้คือ เรื่องของประมาณการกำไรไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียน และเรื่องของการเมืองในประเทศ
“สิ่งที่ต้องติดตามคือจะเห็นการปรับลดคาดการณ์กำไรอีกหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ในไตรมาสแรกเราเห็นการปรับลดคาดการณ์กำไรค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ SET ปรับตัวลดลงแรง”
ส่วนปัจจัยการเมืองมีโอกาสออกมาได้ทั้งเชิงบวกและลบ สำหรับด้านลบคือการเลือกนายกฯ ยืดเยื้อ นำไปสู่การตั้งรัฐบาลล่าช้าจนทำให้นักลงทุนเริ่มไม่เชื่อมั่น และจะกระทบต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ส่วนด้านบวกคือ นายกฯ อาจเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่พรรคก้าวไกล ซึ่งจะทำให้ความกังวลเรื่องความเสี่ยงด้านนโยบายลดลง ทำให้หุ้นกลุ่มไฟฟ้า พลังงาน หรือทุนใหญ่อื่นๆ จะฟื้นตัวได้
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ดีที่สุดของปีนี้เชื่อว่า Upside ของดัชนี SET มากสุดจะไม่เกิน 1,600 จุด และหากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง จะทำให้เป้าหมายดัชนีดีสุดลดลงมาเหลือ 1,560 จุด
“สิ่งที่ต้องระมัดระวังหลังจากนี้คือ หากเกิดการปรับประมาณการกำไรลงในขณะที่ปัจจัยอื่นยังคงเดิม เช่น การเมืองยืดเยื้อ หรือสภาพคล่องเท่าเดิม จะทำให้ดัชนี SET มีความเสี่ยงจะหลุดลงไปต่ำกว่า 1,460 จุด”