หุ้นไทย บวก 16.97 จุด ตามตลาดต่างประเทศ สอดรับมุมมองจาก บล.ทรีนีตี้ ที่มองหุ้นไทยเดือนพฤศจิกายนแกว่งตัว Sideway ในกรอบ 1,560-1,660 จุด ระบุช่วงต้นเดือนได้แรงหนุนจาก Fund Flow ไหลเข้าหลังตัวเลขดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดพลิกปรับตัวดีขึ้น แต่ต้องระวังแรงขายหลังพ้นช่วงครึ่งเดือนแรก
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวันนี้ (1 พฤศจิกายน) ดัชนีปิดการซื้อขายที่ 1,625.73 จุด เพิ่มขึ้น 16.97 จุด หรือ 1.05% มูลค่าการซื้อขาย 68,447.97 ล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ทำความรู้จัก 7 หุ้น IPO น้องใหม่ เตรียมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ
- อัปเดต 7 หุ้น พอร์ต เซียนฮง สถาพร งามเรืองพงศ์ มูลค่า 6.14 พันล้านบาท
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65
โดยหลักทรัพย์ที่มูลค่าการซื้อขายมากสุด ได้แก่
- AAI ปิดที่ 8.90 บาท เพิ่มขึ้น +3.35 หรือ +60.36% มูลค่าการซื้อขาย 7,405,83 ล้านบาท
- PTTEP ปิดที่ 187 บาท เพิ่มขึ้น +5.50 บาท หรือ +3.03% มูลค่าการซื้อขาย 3,101.72 ล้านบาท
- SCC ปิดที่ 337 บาท เพิ่มขึ้น +13 บาท หรือ +4.01% มูลค่าการซื้อขาย 2,359.17 ล้านบาท
- PTT ปิดที่ 36 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 2,170.36 ล้านบาท
- DELTA ปิดที่ 604 บาท เพิ่มขึ้น +24 บาท หรือ +4.14% มูลค่าการซื้อขาย 1,869.96 ล้านบาท
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนเดือนพฤศจิกายน 2565 ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัว Sideway ในกรอบ 1,560-1,660 จุด โดยในช่วงแรกของเดือนคาดว่า บรรยากาศการลงทุนน่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ดี จากการที่ไม่มีข่าวร้ายใหม่เข้ามากระทบ พร้อมทั้ง Fund Flow มีสัญญาณบวกต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งจากการพลิกกลับมามีสัญญาณที่ดีของดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนล่าสุด
อย่างไรก็ตาม พอผ่านพ้นช่วงต้นเดือนไปอาจต้องระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะหากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาร้อนแรงต่อเนื่อง จะทำให้นักลงทุน Price In การขึ้นดอกเบี้ย Fed ครั้งสุดท้ายของปีนี้ในระดับที่รุนแรงมากขึ้นได้ ไม่นับรวมกับความเสี่ยงที่ กนง. อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมปลายเดือนนี้อีกด้วย
ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำถือครองหุ้นในส่วนเดิมซึ่งมีต้นทุนดัชนีอยู่ราว 1,590 จุด โดยยังคงเน้นโฟกัสไปที่กลุ่ม Domestic Cyclical ที่ยังคงได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจในประเทศที่ทยอยฟื้นตัว และอาจมีแรงหนุนเล็กน้อยจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศช่วงถัดไป ทั้ง กลุ่มธนาคารฯ เงินทุนหลักทรัพย์ ประกันภัย สื่อสาร และสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยมี Top Pick 10 หุ้นเดิมได้แก่ KBANK, AEONTS, TIDLOR, TLI, ADVANC, DTAC, ONEE, PLANB, RATCH, COM7
ณัฐชาตมองการประชุม FOMC ในช่วงต้นเดือนวันที่ 1-2 พฤศจิกายน มีความสำคัญน้อยลง จากการที่ตอนนี้นักลงทุน Price In การขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.75% เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ต้องติดตามถ้อยแถลงของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ว่าจะออกมามีทิศทาง Dovish/Hawkish อย่างไร ส่วนในระหว่างเดือน คงต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ กันต่อ เนื่องจากจะส่งผลต่อไปยังการคาดการณ์ Fed Funds Futures ในตลาดได้ ซึ่งต้องบอกว่าในปัจจุบัน นักลงทุนยังคงมีมุมมอง 50:50 ระหว่างการขึ้นดอกเบี้ย 0.50% กับ 0.75% ในการประชุม Fed ครั้งสุดท้ายของปี วันที่ 13-14 ธันวาคมนี้
ส่วนการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายนนั้น หากผลการเลือกตั้งออกมาเป็นไปตามที่โพลทุกสำนักมองไว้ว่าพรรครีพับลิกันจะสามารถกลับมายึดครองเสียงข้างมากในสภาล่างได้ มองจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในทางบวกได้ โดยหากอ้างอิงจากสถิติในอดีตนับตั้งแต่ปี 1990 จะพบว่าแทบทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงเสียงข้างมากในสภาล่าง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักมีการตอบรับเชิงบวกได้ราว 4-5% โดยเสมอ ซึ่งอธิบายได้ด้วยเหตุผลของความคาดหวังในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่อาจจะตามมานั่นเอง
สำหรับปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ความคืบหน้าของการออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐที่อาจจะออกมาเพิ่มขึ้น เช่น มาตรการคนละครึ่ง เฟส 6 มาตรการเราเที่ยวด้วยกัน หากเกิดขึ้นจริง มองจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยต่อกำลังซื้อในประเทศที่ส่วนหนึ่งถูกกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในช่วงหลัง และน่าจะเป็น Sentiment เชิงบวกต่อกลุ่ม Domestic Cyclical ที่ยังคงแนะนำถือครองเป็น Core Portfolio ต่อไป
นอกจากนั้น ยังต้องติดตามการประชุม กนง. ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ซึ่งถือเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ ล่าสุด เสียงของนักลงทุนในตลาดยังคงแบ่งครึ่งระหว่างการคงดอกเบี้ยที่ระดับเดิม 1.00% กับการขึ้นดอกเบี้ยไปอยู่ที่ 1.25%
ทั้งนี้ จากการศึกษาของ บล.ทรีนีตี้ พบว่า หากมีการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จะเป็นผลลบต่อดัชนี SET ราว 40-50 จุด ผ่านปรากฏการณ์ P/E Contraction โดยจะทำให้ระดับ SET ที่เหมาะสมในกรณี Bull / Base / Bear ของทรีนีตี้ปรับลดทอนลงจาก 1,750 / 1,630 / 1,510 จุด เป็น 1,700 / 1,580 / 1,470 จุด ตามลำดับ