×

สังคมไทย ไม่สยบยอมให้กับความฉ้อฉล

13.09.2025
  • LOADING...
สังคมไทย ความฉ้อฉล

“ข้อเท็จจริง จึงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจำคุกจำเลย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้น บ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่า ตนไม่ได้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน แต่จำเลยมีเพียงโรคประจำตัว ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ”

 

“นอกจากนี้ ยังได้ความว่าจำเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดโรคหัวใจ และโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการ และเลือกการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและเป็นผลทำให้การรักษาตัวจำเลยโรงพยาบาลตำรวจขยายเวลาออกไป จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์ มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลย เพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา”

 

“เมื่อการบังคับโทษจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษ รวมทั้งการพักการลงโทษจำเลย จึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ มาหักเป็นวันคุมขังได้ จำเลยจึงต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ”

 

 

นี่เป็นสาระสำคัญของคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นคำสั่งให้ไต่สวนการบังคับโทษ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งศาลอ่านคำสั่งเมื่อ 9 กันยายน 2568

 

คำสั่งนี้มีผลให้ คนที่เคยประกาศว่า “จะไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว” กลับต้องสิ้นอิสรภาพไปสู่การถูกจำคุกหนึ่งปี ทำให้คนที่เป็นเจ้าของและโดยสารเครื่องบินเจ็ตสุดหรูมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท กลับต้องโดยสารรถลำเลียงนักโทษของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

 

 

บรรดาข้าเก่าเต่าเลี้ยงออกมาส่งเสียงเชิดชูคนโกงเป็นวีรบุรุษประจำใจของเขากันอย่างน่าไม่อาย

 

คำสั่งศาลประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นท่ามกลางความสิ้นหวังของประชาชนต่อสภาพความเสื่อมทรามที่กำลังก่อเกิดและขยายตัวไปทั่วแผ่นดิน ตั้งแต่คดีคลิปอัปยศ ฮุนเซน – แพทองธาร แล้ว ก่อนศาลจะวินิจฉัย มีการคาดเดากันไปว่าค้อนจะแพ้กระดาษ เพราะอำนาจเงินสำแดงอานุภาพ จริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญลงมติด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 3 ให้แพทองธาร ชินวัตร พ้นไปจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีผลให้ ครม. ทั้งคณะพ้นไปด้วย

 

คดีป่วยทิพย์ชั้น 14 ก็ดุจกัน มีความประหวั่นพรั่นพรึงกันไปว่าจำเลยจะลอยตัวเหนือกฎหมาย ปล่อยให้ราชทัณฑ์ เจ้าหน้าที่ แพทย์และพยาบาล รับเคราะห์แทนกันไป แต่การณ์ปรากฏว่าคะแนนเสียง 5 ต่อ 0 ของศาลฎีกา มีคำสั่งดังกล่าว

 

 

ระบบยุติธรรมไทย จึงยังสามารถดำรงหลักนิติรัฐนิติธรรมไว้ได้ ในขณะที่ระบบการเมืองยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

 

ในที่นี้ควรให้น้ำหนักความสำคัญต่อ 3 กระแสสำคัญ

 

1.พลังของภาคประชาชน ทุกๆ ส่วน ทั้งแพทยสภา องค์กรภาคเอกชน กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ร่วมกันสำแดงพลังอย่างหนักแน่นมั่นคง

 

2.การชุมนุมใหญ่ 3 ครั้ง ของประชาชน ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อ 28 มิถุนายน 2568 , 2 สิงหาคม 2568 และ 31 สิงหาคม 2568 เป็นพลังทางศีลธรรมที่มุ่งต้านยันความฉ้อฉล ทั้งเรื่องคลิปฉาว เรื่องกาสิโน เรื่องป่วยทิพย์ชั้น 14 ฯลฯ เป็นกลุ่มพลังที่แสดงออกอย่างมีอารยะ ใช้เหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ ทำให้ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี

 

3.ความพยายามอย่างยิ่งยวดของฝ่ายกฎหมาย ของคุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ คุณนิติธร ล้ำเหลือ คุณสมชาย แสวงการ ดร.เจษฎ์ โทณวนิก อ.คมสัน โพธิ์คง ในการขบคิด วิเคราะห์ เลือกสรรข้อต่อสู้ทางกฎหมาย ดำเนินการยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมต่อศาลรัฐธรรมนูญ ต่อ ป.ป.ช. ต่อศาลฎีกา ต่ออัยการ และองค์กรอิสระอื่นๆ

 

 

เป็นการเดินหน้าลุยอย่างไม่ลดละ ไม่ท้อถอย แม้ว่าจะพบอุปสรรค จึงเป็นแนวรบคู่ขนานกับการชุมนุมของประชาชน ที่นำไปสู่ข้อยุติทางกฎหมาย ที่ทำให้เกิดผลภาคปฏิบัติ

 

ควรบันทึกไว้ด้วยว่า ทั้งคดีคลิปอัปยศ ฮุนเซน – แพทองธาร และคดีป่วยทิพย์ชั้น 14 นั้น ทั้งสองคดีหลักฐานพยานต่างๆ ปรากฏต่อหู ต่อตา ประชาชน เสมือนหนึ่งประชาชนทั้งประเทศเป็นพยานสาธารณะร่วมในคดีทั้งสอง เมื่อได้รับการขานรับจากศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาอย่างกล้าหาญในการผดุงความยุติธรรมจึงยากนักที่จะบิดพลิ้วคดีไปในทิศทางแห่งอธรรมได้

 

1.พลังเสรีภาพของข้อมูลข่าวสาร ผ่านสื่อ Social Media ที่ปัจเจกชนเป็นเจ้าของ แพร่กระจายได้ด้วยตนเองอย่างรวดเร็ว สื่อกระแสหลักทั้งสำนักข่าวและสื่อสิ่งพิมพ์ไม่สามารถครอบงำพื้นที่ความรับรู้ของผู้คนได้อย่างแต่ก่อน

 

2.สื่อบางสำนัก หรือใครบางคนอาจใช้ความพยายามแปลงสารไปในทางตอบสนองข้างอธรรม แต่ก็ทำได้ไม่ถนัด เพราะความจริงที่ปรากฏต่อสาธารณะ ไม่เชื่อต่อข่าวสารลวงโลก สังคมนั้นเองจะชั่งน้ำหนักข่าวและตัดสินได้ว่าสิ่งใดเท็จสิ่งใดจริง และสุดท้ายความจริงจะประจักษ์และมีอานุภาพมากกว่า

 

ในยามแห่งวิกฤตศรัทธา พลังของภาคประชาชน พลังของฝ่ายกฎหมายและศาลสถิตยุติธรรม รวมทั้งพลังเสรีภาพของข้อมูลข่าวสาร เป็นพลังสามประสานนอกภาครัฐ ที่ไม่สยบยอมให้กับความฉ้อฉล เป็นพลังประจักษ์ที่หนุนเนื่องให้กลไกแห่งนิติรัฐดำเนินไปตามครรลองของนิติธรรมอย่างเป็นจริง

 

  • ป่วยทิพย์ชั้น 14 ติดคุกไปแล้ว
  • คลิปอัปยศ ถอนยวงนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลทั้งคณะไปแล้ว
  • โป๊กเกอร์ถูกกฎหมายนั้น นายกรัฐมนตรีคนใหม่ประกาศถอดทิ้งแล้ว
  • คาสิโนและการพนันออนไลน์ ก็ล่าถอยไป ยากที่จะคืนกลับมาได้อีก 

นักการเมืองคนไหน ที่หมายจะกดข่มพลังทางศีลธรรมของคนไทย เรียงหน้ากันเข้ามาได้ ถ้าคิดว่าบทเรียนที่ประจักษ์ยังไม่เพียงพอแก่การถอดบทเรียน

 

ขอน้อมนำบทกวี ‘ด้วยคารวะ’ ของ อัคนี หฤทัย ศิลปินแห่งชาติ มาประดับไว้ตรงนี้ด้วยด้วยความขอบคุณยิ่ง

ด้วยคารวะ

 

คารวะ ทุกท่านผู้ ไม่อยู่นิ่ง

แสวงหาความจริง มาจนจบ

ไม่อ่อนแรง อ่อนล้า เมื่อท้ารบ

เพื่อสยบทุกอย่าง ที่ย่ามใจ

 

คารวะ ทุกท่านผู้ ยื่นญัตติ

ใช้สิทธิในสภา เพื่อเคลื่อนไหว

อภิปรายให้เห็น ความเป็นไป

จนเกินจะวางใจได้ หลายประการ

 

คารวะ ทุกเสียงแห่ง แพทยสภา

ที่ไม่เห็นแก่หน้า และกล้าหาญ

จรรยาบรรณวิชาชีพ ซึ่งเชี่ยวชาญ

จึงสะอ้าน อวดความเป็น แพทยสภา

 

คารวะ วิถี นิติธรรม

ซึ่งปรากฏ ในคำพิพากษา

ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย รายมาตรา

คือเกียรติยศ แห่งห้า ตุลาการ

 

แผ่นดินนี้ จึงมีหลัก ให้จารึก

เป็นบันทึก นิติธรรม ให้ร่ำขาน

ว่าความเที่ยง แห่งมหาธรรมาภิบาล

ยังยืนนาน อยู่เหนือ อำนาจใด

 

จึงเขียนบทกวีมา คารวะ

ในวาระ วันที่เก้า กันยาสมัย

ว่ากฎหมาย แห่งบ้านเมือง เรืองฤทธิ์ไกร

ไม่มีข้อ ยกเว้นให้ ผู้ใดเลย…

 

อัคนี หฤทัย

10 กันยายน 2568

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising