รอบตัวเราทุกวันนี้ถูกรายล้อมด้วยระบบและอุปกรณ์ที่ใช้พลังของ ‘ชิป’ ตั้งแต่สมาร์ทโฟน รถยนต์ไร้คนขับ หุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะ เครื่องสแกนใบหน้า โครงข่ายไฟฟ้า ไปจนถึงเครื่องบินรบ
‘Semiconductor’ หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า Microchips คือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่ทำหน้าที่หลากหลาย ทั้งขยายสัญญาณ แปลงพลังงาน ตรวจจับ เก็บข้อมูล เรียกได้ว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทบทุกชนิดมี ‘chip’ เป็นขุมพลัง รวมไปถึงเทคโนโลยีอย่าง AI และ Data Center
เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคที่เทคโนโลยีอย่าง AI, Cloud และ Data Center กลายเป็น ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ ชิปจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญ ยิ่ง AI ถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ความต้องการเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ปี 2024 อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ยอดขายทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 627 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดการณ์ว่าจบปี 2025 จะเติบโตขึ้นอีกเป็นประมาณ 697 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
![]()
ใครครอบครองชิป ไม่ต่างอะไรกับได้ครอบครองโลก อาจไม่ใช่คำกล่าวเกินจริง Chris Miller ผู้เขียนหนังสือ CHIP WAR บอกว่า ไมโครชิปคือน้ำมันชนิดใหม่ ในโลกยุคก่อนมหาอำนาจต่างแย่งชิงบ่อน้ำมัน แต่โลคยุค AI ประเทศชั้นนำกำลังแย่งชิงขุมพลังในการประมวลผล Data
ปัจจุบัน ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี และจีน ยังคงเป็นผู้เล่นหลักของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ แต่ยังมีหลายประเทศ ที่อยากชิงชัยเป็นผู้นำด้านการวิจัย พัฒนา และผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ เพราะนั้นหมายถึงการก้าวเท้าจ่อคิวที่จะเป็นประเทศมหาอำนาจ และสะท้อนถึงความมั่นคงระดับชาติ
![]()
‘เซมิคอนดักเตอร์’ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทย
ประเทศไทยเองก็เช่นกัน ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ กระทรวง อว. กล่าวว่า ประเทศไทยไม่สามารถยืนอยู่บนอุตสาหกรรมเดิมได้ ต้องสร้าง New Growth Engine หรืออุตสาหกรรมที่เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทย หนึ่งในนั้นคือ ‘อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์’
“เราอาจจะยังไม่เด่นชัดมากแต่เราก็ไม่ได้ช้าเกินไปที่จะเข้าไปในอุตสาหกรรมนี้ คู่แข่งในภูมิภาคหลักๆ ก็คงจะเป็นเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย อุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องการพลังงานเยอะ ซึ่งไทยได้เปรียบเรื่องพลังงาน”
![]()
ศาสตราจารย์ ดร.สุรินทร์ คำฝอย รองผู้อำนวยการ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สอวช.กล่าวว่า ประเทศไทยเคยเป็นผู้ส่งออกฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) อันดับหนึ่งของโลก และถ้ามองลึกลงไปจะพบสินค้าที่อยู่เบื้องหลัง Data Center มากมาย หนึ่งในนั้นคือ เซมิคอนดักเตอร์
“คาดการณ์ในปี 2030 ตลาดเซมิคอนดักเตอร์อาจมีมูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ไทยมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนนี้ ประกอบกับปัจจัยเร่งจากภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้เกิดความต้องการสินค้ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น เนื่องจากบริษัทในจีนและไต้หวันไม่สามารถส่งออกไปประเทศอื่นได้”
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) สะท้อนให้เห็นการเติบโตของ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ในไทย มียอดส่งออกทะลุ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยในปี 2567 อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 71,033 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 2.8% จากปีก่อน โดยเฉพาะในกลุ่ม Consumer Electronics (27.8%), Power Electronics (22.7%) และ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (21.1%) นับเป็นกลุ่มสินค้าส่งออกอันดับต้น ๆ ของประเทศที่ยังคงขยายตัวท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
“มีผู้ประกอบการรวมกว่า 2,700 ราย สะท้อนถึงโครงสร้างอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าไปจนถึงระบบควบคุมพลังงานอัจฉริยะ นำไปสู่การจ้างงานในระบบ”
ด้านเซมิคอนดักเตอร์ ไทยมีมูลค่าการส่งออกกว่า 14,946 ล้านบาท เติบโต 3% และมีโครงการลงทุนใหม่กว่า 407 โครงการ รวมมูลค่า 231,710 ล้านบาท ภายในปี 2567 โดยเป็นการลงทุนด้านผลิตเซมิคอนดักเตอร์โดยตรงกว่า 60,000 ล้านบาท
“แม้ไทยจะยังต้องนำเข้าชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศเกือบ 100% แต่เราก็มีจุดแข็งโดยเฉพาะในภาคการประกอบและทดสอบ (Outsourced Semiconductor Assembly and Test – OSAT) และแผงวงจร (PCB Assembly) แต่หากมองทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรมประเทศไทยมีผู้เล่นสำคัญตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทของไทยหรือบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศ ทำให้เราสามารถสปริงบอร์ดข้ามไปเป็นผู้เล่นชั้นบนได้”
![]()
อาวุธลับสร้างข้อได้เปรียบในสมรภูมิเซมิคอนดักเตอร์
ศาสตราจารย์ ดร.สุรินทร์ ชี้ให้เห็นจุดแข็งที่อาจทำให้ไทยได้เปรียบในการแข่งขัน คือ IC Design โฟกัสไปที่ไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ และ Power Electronic Device ในฐานะฐานการผลิตสำคัญทำให้สามารถเกาะขบวนอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง เช่น AI, Data Server, และ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึง Sensor ต่างๆ ที่ใช้ในภาคการเกษตร, อาหาร และการแพทย์
![]()
ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.ภานวีย์ โภไคยอุดม อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร และหนึ่งในศูนย์ฝึกอบรมเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ และหนึ่งในศูนย์ฝึกอบรมเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ มองจุดแข็งไทย 4 ด้านเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค ได้แก่ การมีฐานอุตสาหกรรมเดิมที่แข็งแกร่ง จากอดีตที่เคยเป็น ‘Detroit of Thailand’ และเป็นผู้ผลิตยานยนต์สันดาปที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค
“ด้วยความแข็งแกร่งของประเทศไทยในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ เราจึงมีฐานความรู้และบุคลากรที่มีศักยภาพอยู่แล้ว การเสริมทักษะและการปรับตัวอย่างจริงจัง จะช่วยให้เรายกระดับไปสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในระดับต้นน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว”
“หากมองโครงสร้างพื้นฐาน ไทยมีระบบสาธารณูปโภคที่ดี อีกทั้งโลจิสติกส์ไม่เป็นรองใครในภูมิภาค ขณะเดียวกันเรากำลังมีนโยบายรัฐที่ชัดเจน ทาง BOI เองก็มีแพ็กเกจส่งเสริมการลงทุนที่ดีพอที่จะแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้”
ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย มองว่า แม้ไทยจะมีข้อได้เปรียบหลายด้านแต่สิ่งที่ช้ากว่าคือการผลิตกำลังคน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม
“ที่ผ่านมาเราไม่มีเซมิคอนดักเตอร์เอ็นจิเนียร์ เพราะในอดีตเราไม่มีหลักสูตรนี้ ถึงจะเอาคนที่วิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มาอัปสกิลได้ แต่ถ้าเรามีเซมิคอนดักเตอร์เอ็นจิเนีย ก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าประเทศไทยเอาจริง”
เป็นที่มาของการเปิดหลักสูตร ‘วิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์’ ครั้งแรกของประเทศไทย นำร่อง 7-8 มหาวิทยาลัย สามารถรับนักศึกษาในปีแรกได้ 300-400 คน
“เราเรียกหลักสูตรนี้ว่า ‘Higher Education Sandbox’ กระทรวง อว. มีบทบาทหลักในการพัฒนาบุคลากรด้านนี้อย่างชัดเจน โดยมุ่งผลิต Talent เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม เป้าหมายคือผลิตกำลังคนเข้าอุตสาหกรรม 80,000 คนภายใน 5 ปี ซึ่งจำนวนที่ว่านี้ นอกเหนือจากกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ยังรวมถึงคนที่อยู่ในตลาดแรงงานที่มีพื้นฐานอยู่แล้ว หรือคนที่อยากเปลี่ยนงาน หรือกลุ่มอาชีวะ นำมา Upskill Reskill และอีกกลุ่มหนึ่งคือ อาจารย์และนักวิจัย”
นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมการผลิตและพัฒนากำลังคนในหลากหลายรูปแบบ อาทิ โครงการ Semiconductor Bootcamp เพื่อเตรียมนักศึกษาชั้นปี 3 – 4 เข้าสู่อุตสาหกรรมจริง การพัฒนาหลักสูตรเฉพาะทางด้านวิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ หลักสูตรระยะสั้นเพื่อ Upskill Reskill บุคลากรในตลาดแรงงาน โปรแกรม Train the trainer เพื่อพัฒนาอาจารย์และนักวิจัย ตลอดจนทุนปริญญาเอกแบบมุ่งเป้าด้าน IC Design โดยเฉพาะการจัดตั้ง National Semiconductor Training Centers ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการพัฒนากำลังคน และการสร้างความร่วมมือเชิงลึกร่วมกับภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ
“หลายภาคส่วนต้องเข้ามาร่วมมือ เพราะลำพังกระทรวง อว. เอง อาจจะยังไม่พอ ปัจจุบันเราก็ทำงานกับ BOI ค่อนข้างมากในการพัฒนาคน รวมถึงความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม” ศ.ดร. ศุภชัย กล่าว
![]()
นอกจากความร่วมมือภายในประเทศ กระทรวง อว. ได้สร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเลือกจากความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของแต่ละประเทศ
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์ฝึกอบรมเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ รศ.ดร. ภานวีย์ ฉายภาพความร่วมมือในปัจจุบัน กับ Arizona State University (ASU) สหรัฐอเมริกา ภายใต้โครงการ Thai-US Alliance for Semiconductor Excellence Center ตั้งเป้ายกระดับอุตสาหกรรมไทยด้าน Advance Packaging หรือการจับมือกับ Imperial College London สหราชอาณาจักร เน้นความเชี่ยวชาญด้าน IC Design โดยมองสหราชอาณาจักรเป็นประตูสู่ยุโรป
“โครงการหลักของเราคือ ศูนย์ ‘MUT–Imperial SABER Lab’ แห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตั้งอยู่ที่ Imperial College เป็นห้องปฏิบัติการวิจัยด้าน AI, เซมิคอนดักเตอร์ และไบโอเซนเซอร์อิเล็กทรอนิกส์ ที่สำคัญ SABER Lab ไม่ได้เป็นเพียงศูนย์วิจัย แต่ยังเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยได้ทำงานร่วมกับนักวิจัยชั้นนำระดับโลก ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง และเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานอันทันสมัย”
“นอกจากนี้เรายังสร้างห้องปฏิบัติการคู่ขนาน (BiNOVA) ในประเทศไทยที่มีเทคโนโลยีและอุปกรณ์เหมือนกันกับที่ Imperial College เพื่อให้เกิด Knowledge Transfer อย่างแท้จริง”
ตัวชี้วัดความสำเร็จภายใต้ กรอบนโยบาย ‘อว. For Semiconductor’
ภายใต้กรอบนโยบาย “อว. for Semiconductor” ตั้งเป้าหมายพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง จำนวน 80,000 คน ภายใน 5 ปี
หากการดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้ ไทยจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก นำไปสู่การยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศได้
![]()
ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เน้นย้ำว่า สิ่งที่ประเทศไทยต้องการอย่างมากคือแรงงานทักษะสูงเพื่อป้อนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
“ผลลัพธ์ที่เราตั้งไว้ จะเน้นเรื่องการแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคนสมรรถนะสูงเฉพาะทาง โดยเฉพาะทางด้านเซมิคอนดักเตอร์ ก็พยายามจะสร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ไปจนถึงการดึงดูดการลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมด้านเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญแห่งอนาคตที่รัฐบาลไทยกำหนดเอาไว้ ด้วยการพยายามเพิ่มสัดส่วนการจ้างงาน แล้วก็ผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์”
“การจะเริ่มอุตสาหกรรมใหม่ จุดสำคัญคือการมีคนที่มีทักษะที่ดี การร่วมมือในการพัฒนากำลังคน ซึ่งถือว่าเป็น “สินทรัพย์ที่สำคัญของประเทศ” คือความจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน” ศ.ดร. ศุภชัย กล่าวทิ้งท้าย
อ้างอิง:


