ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ทราบมาว่าการออกคำสั่งห้ามนั่งรับประทานอาหารในร้านรอบล่าสุดของภาครัฐเป็นผลมาจากการที่คุณหมอรายหนึ่งซึ่งเป็นที่ปรึกษาใน ศบค. อ้างว่ามีคนเสียชีวิตจากการไปนั่งรับประทานอาหารที่ร้านซึ่งต้องถอดหน้ากากอนามัย จึงเสนอว่าควรห้ามการรับประทานอาหารที่ร้านเป็นการชั่วคราว ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ประกอบการ
“ต้องถามว่าการติดเชื้อหรือเสียชีวิตของคนเป็นผลมาจากการถอดหน้ากากรับประทานอาหาร หรือเป็นเพราะคนนั้นเป็นผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้รับวัคซีนกันแน่ ความล่าช้าของการกระจายวัคซีนเป็นผลมาจากใคร การเอาเรื่องนี้มาเป็นเหตุปิดร้านอาหารนับแสนแห่งใน 5-6 จังหวัดยุติธรรมหรือไม่” ฐนิวรรณกล่าว
นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า ขณะนี้ดูเหมือนรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยไม่มองระยะยาวและผลกระทบที่จะเกิดตามมา เช่น การที่ร้านอาหารสามารถขายได้แค่เฉพาะการสั่งกลับบ้าน นั่นหมายถึงรายได้เขาจะลดลงเหลือแค่ 10% ของรายได้ปกติ ขณะที่ต้นทุนอื่นๆ ยังเท่าเดิม ในภาวะแบบนี้คงไม่มีใครอยู่ได้ ซึ่งท้ายที่สุดจะเกิดการเลิกจ้างครั้งใหญ่
ฐนิวรรณกล่าวว่า แม้กระทรวงแรงงานจะยืนยันว่าลูกจ้างที่อยู่ในประกันสังคมตามมาตรา 33 จะได้รับเงินชดเชย 50% ของค่าจ้างสูงสุดที่ 15,000 บาทต่อเดือน แต่ไม่ใช่พนักงานร้านอาหารทุกคนที่มีประกันสังคม กลุ่มคนเหล่านี้ภาครัฐจะเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาเขาอย่างไร หรือจะผลักภาระให้กับผู้ประกอบการเช่นเดิม
อย่างไรก็ดี ฐนิวรรณระบุว่า ไม่อยากให้สังคมไปโฟกัสที่ประเด็นการออกคำสั่งกลางดึกของภาครัฐ เพราะโดยส่วนตัวได้รับทราบตั้งแต่วันศุกร์แล้ว โดยมีคนของ ศบค. โทรมาบอก ซึ่งตัวเองก็ได้พยายามกระจายข่าวผ่านสมาคมและเครือข่ายในจังหวัดต่างๆ ให้รับทราบแล้ว แต่อาจจะยังมีผู้ประกอบการบางส่วนที่ไม่ได้รับข้อมูลตรงนี้
“ตอนนี้อยากให้โฟกัสไปที่ประเด็นการเยียวยาและชดเชยจากภาครัฐมากกว่า ซึ่งหนึ่งในข้อเสนอที่สมาคมได้บอกไปยังภาครัฐคือ ในเมื่อภาครัฐมีคำสั่งปิดแคมป์คนงานหลายแห่งและต้องจัดหาอาหารให้กับคนงานเหล่านั้น ทำไมไม่มาจ้างเราทำข้าวกล่องเสียเลยล่ะ หากภาครัฐส่งงานมาให้สมาคมก็จะกระจายงานไปให้ร้านอาหารต่างๆ อาจจะรายละ 100-200 กล่องต่อวัน ตรงนี้น่าจะพอบรรเทาผลกระทบได้” นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าว
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์