วันนี้ (26 ธันวาคม) สถาบันพระปกเกล้า รองศาสตราจารย์ ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ในฐานะประธานศูนย์สำรวจความคิดเห็นสถาบันพระปกเกล้า (KPI Poll) แถลงผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชน ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ เสียงในหัวประชาชนกับการเมืองช่วงเปลี่ยนผ่าน
ซึ่งดำเนินการสำรวจระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ จำนวน 2,016 ตัวอย่าง โดยสะท้อนภาพภูมิทัศน์ทางการเมืองไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคหลายรสนิยม
ผลสำรวจสะท้อนความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อการทำงานของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา โดยพบว่า ประชาชนร้อยละ 42.6 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมาคือ ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 25.0 และ ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.6 ซึ่งเมื่อรวมกลุ่มผู้ที่มีความพึงพอใจทั้งหมด (พอใจมากและค่อนข้างพอใจ) จะอยู่ที่ร้อยละ 28.1
เมื่อวิเคราะห์เจาะลึกรายภูมิภาค พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ยังคงเป็นพื้นที่ฐานเสียงสำคัญที่รัฐบาลได้รับความพึงพอใจสูงสุด (ร้อยละ 10.8) ในขณะที่ภาคกลางและภาคใต้มีระดับความพึงพอใจใกล้เคียงกันที่ประมาณร้อยละ 5
ผลสำรวจส่วนนี้ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลยังมีความได้เปรียบในพื้นที่ที่นโยบายสามารถเข้าถึงชีวิตจริง หรือจับต้องได้ แต่ในพื้นที่หัวเมืองใหญ่และภาคใต้ โจทย์ทางการเมืองไม่ใช่เรื่องของอุดมการณ์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่คือการสร้างผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์บริบทเฉพาะพื้นที่
KPI Poll ยังได้สำรวจความต้องการของประชาชนว่า อยากฟังหัวหน้าพรรคการเมืองคนใดขึ้นเวทีดีเบตแสดงวิสัยทัศน์มากที่สุด ซึ่งผลลัพธ์สะท้อนความนิยมเชิงพื้นที่ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้:
- ภาคเหนือ: อันดับ 1 คือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ร้อยละ 25.8) ตามมาด้วย พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ พรรคเศรษฐกิจ
- กรุงเทพมหานคร: อันดับ 1 ยังคงเป็น ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (ร้อยละ 19.6) รองลงมาคือ อนุทิน ชาญวีรกูล (ร้อยละ 15.4)
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: ประชาชนส่วนใหญ่ระบุว่าใครก็ได้ (ร้อยละ 20.8) แต่หากระบุตัวบุคคล อันดับ 1 คือ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ร้อยละ 17.6)
- ภาคใต้: อันดับ 1 คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ร้อยละ 27.2) ตามมาด้วยอนุทิน ชาญวีรกูล (ร้อยละ 24.0)
- ภาคกลาง: มีการแข่งขันสูสีที่สุด โดยอันดับ 1 คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ร้อยละ 14.1) เฉือนชนะ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ จากพรรคเพื่อไทย (ร้อยละ 14.0) เพียงเล็กน้อย
สถาบันพระปกเกล้า ได้สรุปบทเรียนสำคัญจากผลสำรวจครั้งนี้ว่า การเมืองไทยไม่ได้แบ่งขั้วแบบแข็งตัวเหมือนในอดีต แต่กำลังแตกออกเป็นหลายรสนิยม ตามช่วงวัยและพื้นที่
โดยในมิติช่วงอายุ พบว่ารัฐบาลสื่อสารได้ดีและได้รับความพอใจสูงสุดจากกลุ่ม คนรุ่นใหญ่ (อายุ 56 ปีขึ้นไป) ในขณะที่กลุ่มคนวัยทำงาน (36-55 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มที่แบกรับภาระค่าครองชีพและเผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจโดยตรง ยังคงมีความกังวลและลังเล
รองศาสตราจารย์ ดร.อิสระ ทิ้งท้ายว่า ผลโพลนี้สะท้อนว่าประชาชนไม่ได้ปฏิเสธการเมือง แต่ปฏิเสธการเมืองที่ไม่ตอบโจทย์ชีวิตจริง ดังนั้น พรรคการเมืองหรือผู้นำที่ต้องการความได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะต้องสามารถเชื่อมโยงนโยบายให้เข้ากับวิถีชีวิตประจำวันของประชาชน และต้องมียุทธศาสตร์การสื่อสารที่แตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละภูมิภาคและช่วงวัย
อ้างอิง:


