วันนี้ (30 ตุลาคม) เวลา 16.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นเมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับเกียรติเป็นผู้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในการประชุมสุดยอดผู้นำภาคธุรกิจของเอเปคประจำปี 2568 (APEC CEO Summit 2025) ภายใต้หัวข้อ ‘Bridge. Business. Beyond.’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเวทีสำคัญระดับผู้นำเศรษฐกิจและภาคเอกชนของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยมีผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC นักธุรกิจชั้นนำ และองค์กรระหว่างประเทศเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำภาคธุรกิจของเอเปคในปีนี้ ต่อเนื่องจากการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป สะท้อนถึงพลังของความร่วมมือระดับภูมิภาคที่กำลังเกิดขึ้น ในยุคที่ระบบพหุภาคีกำลังอ่อนแรง ความร่วมมือในระดับภูมิภาคมีความสำคัญยิ่งในฐานะกลไกเชื่อมโยงประเทศต่าง ๆ และเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสร่วมกัน
สำหรับประเทศไทย ซึ่งกำลังก้าวผ่านจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์สำคัญ จากประเทศรายได้ปานกลางสู่ประเทศรายได้สูง จากฐานการผลิตสู่ฐานนวัตกรรม และจากผู้มีส่วนร่วมในภูมิภาค สู่การเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงของภูมิภาค (Regional Connector) รัฐบาลมุ่งมั่นวางรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืน เพื่ออนาคตของประเทศ ผ่านแนวทาง ‘Quick Big Win’ ซึ่งหัวข้อการประชุมในวันนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาล ซึ่งมุ่งเน้น 3 ด้านหลัก คือ การเชื่อมช่องว่างทางเศรษฐกิจ การสร้างโอกาสทางธุรกิจ และการมองไปข้างหน้าให้ไกลกว่าเดิม เพื่อร่วมกันกำหนดอนาคตที่ต้องการ
ประการแรก การเชื่อมช่องว่างทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ‘การเติบโตที่แท้จริงต้องเริ่มจากประชาชน เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจจะไร้ความหมาย หากไม่เป็นการเติบโตที่ทุกคนมีส่วนร่วม และได้รับประโยชน์จากพลังของนวัตกรรม’ โดยรัฐบาลเปิดตัวโครงการสำคัญ คือ โครงการคนละครึ่ง เพื่อลดภาระค่าครองชีพ กระตุ้นการใช้จ่าย และส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล
นอกจากนี้ รัฐบาลได้ลงทุนในการพัฒนาทักษะใหม่ (Reskilling) และส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัล โดยปัจจุบันมีชาวไทยกว่า 5 แสนคน เข้าร่วมการอบรมในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะช่วยเปิดโอกาสให้คนไทยจำนวนมากสามารถมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้และนวัตกรรม
ประการที่สอง การสร้างโอกาสทางธุรกิจ นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ‘การเสริมพลังให้กับประชาชนต้องควบคู่ไปกับการเสริมพลังให้ภาคธุรกิจที่เป็นฐานสำคัญของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจไทย’ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุน แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และพัฒนาระบบสินเชื่อให้โปร่งใสและเข้าถึงได้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล
พร้อมเร่งขับเคลื่อนโครงการ ‘SME Reboot and Go Digital’ เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายย่อยกว่า 200,000 ราย ให้สามารถใช้เครื่องมือออนไลน์เข้าถึงการตลาดดิจิทัล และระบบ e-payment ขยายฐานลูกค้าและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เช่น การเชื่อมโยงระบบ PromptPay ของไทย กับระบบ PayNow ของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นความร่วมมือครั้งแรกในอาเซียน สนับสนุนการทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่า นี่คือแนวทางที่ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจต้องปรับกฎระเบียบให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้ไทยเป็นประเทศที่ทำธุรกิจได้ง่าย มีกติกาชัดเจน และสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างยั่งยืน โดยไทยมีเป้าหมายที่จะการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD ภายในปี 2573 เพื่อยกระดับธรรมาภิบาล การกำกับดูแลดิจิทัล และความโปร่งใสของภาครัฐให้เทียบเท่าสากล
ทั้งนี้ รัฐบาลได้เริ่มกระบวนการปฏิรูปการบริหารภาครัฐ ลดขั้นตอนราชการ ส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ดึงดูดการลงทุน และสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งรวมถึงความเชื่อมั่นในโลกออนไลน์ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีสนับสนุนความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับโลก ในการรับมืออาชญากรรมไซเบอร์และการหลอกลวงออนไลน์
ประการสุดท้าย การมองไปข้างหน้าให้ไกลกว่าเดิม เพื่อร่วมกันกำหนดอนาคตที่ต้องการ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยต้องมองไปข้างหน้าให้ไกลกว่าปัจจุบันและพรมแดน เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขัน มุ่งให้ไทยอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมและความร่วมมือใหม่ ๆ ที่จะกำหนดอนาคตของการเติบโต โดยรัฐบาลร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก เช่น Tesla, BYD, Foxconn, Google Cloud, Amazon Web Services, Huawei Cloud และ Microsoft เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศ รวมถึงลงทุนในโครงข่าย 5G ครอบคลุมร้อยละ 85 ของประชากร ระบบ Digital ID และสายเคเบิลใต้น้ำเชื่อมไทยกับศูนย์กลางในเอเชีย
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังขับเคลื่อนนโยบายความยั่งยืนและการเป็นผู้นำด้านภูมิอากาศ มองการแก้ปัญหาโลกร้อนเป็นโอกาสในการสร้างงาน ดึงดูดการลงทุน และขยายขอบเขตการเติบโต บริษัทไทย เช่น PTT และ SCG ลงทุนในไฮโดรเจนสีเขียวและวัสดุคาร์บอนต่ำ ขณะที่พันธมิตรระดับโลก เช่น BMW และ Toyota ขยายระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ
พร้อมกันนี้ รัฐบาลได้ส่งเสริมตลาดคาร์บอน การเกษตรยั่งยืน และกลไกการเงินสีเขียว ซึ่งสนับสนุนไทยในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 และความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050
ตอนท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ทุกความพยายามของรัฐบาลทั้งหมดนี้ คือการสร้างสะพาน เชื่อมผู้คนผ่านโอกาสและการมีส่วนร่วม เชื่อมเศรษฐกิจผ่านการค้าและนวัตกรรม เชื่อมโยงการทำงานของวันนี้กับอนาคตที่ต้องการ โดยการประชุม CEO Summit ในวันนี้ ซึ่งมุ่งใช้ภาคธุรกิจเป็นสะพานแห่งความร่วมมือ ที่ไม่เพียงสร้างกำไร แต่ยังสร้างความก้าวหน้า
นายกรัฐมนตรีกล่าวทิ้งท้ายว่า ไทยเปิดกว้างและพร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคี เพื่อแปรเป้าหมายให้เป็นการลงมือปฏิบัติ โดยจะร่วมกันรักษาความเปิดกว้างของห่วงโซ่อุปทานโลก สนับสนุนระบบพหุภาคีที่ตั้งอยู่บนกติกา เพื่อสร้างความเป็นธรรม ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน พร้อมเน้นย้ำว่า ความมั่งคั่งที่ที่ทุกสามารถเข้าถึงแบ่งปันได้ คือความมั่งคั่งที่ยั่งยืน
ภายหลังนายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาเสร็จสิ้น ผู้รับฟังในหอประชุมต่างตบมือให้กับนายกรัฐมนตรี จากนั้น ผู้จัดงานได้มอบช่อดอกไม้ และผู้เข้าร่วมงานต่างห้อมล้อมพูดคุยและขอถ่ายภาพกับนายกรัฐมนตรี



