วันนี้ (9 ธันวาคม) รัฐบาลร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.), องค์กรต่อต้านคอรัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน จัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด ‘HERO OF THE TRUTH : ร่วมหยุดคอร์รัปชัน’ โดยมี อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันต่อต้านการทุจริตสากล วันที่ประชาคมโลกแสดงจุดยืนร่วมกันขจัดทุจริตในทุกรูปแบบ เพราะการทุจริตเป็นปัญหาที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทำลายโอกาสการพัฒนาและลดทอนคุณภาพชีวิตของประชาชน
ในฐานะนายกรัฐมนตรี ขอประกาศเจตจำนงอย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่ารัฐบาลจะยืนหยัดต่อสู้กับการทุจริต ด้วยความเด็ดขาด ไม่ลังเล ไม่ประนีประนอม ไม่ผ่อนปรน ไม่มีข้อยกเว้นให้กับผู้ที่เป็นบ่อนทำลายผลประโยชน์ของประเทศชาติ และพร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างสังคมที่โปร่งใสและเป็นธรรม ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความโปร่งใสที่ส่งผลกระทบต่อศรัทธาของประชาชนและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
โดยดัชนีชี้วัดสำคัญอย่างดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ปี 2567 ไทยได้อันดับ 107 ของโลก 34 คะแนน สะท้อนให้เห็นว่ามีช่องโหว่ที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง รัฐบาลนี้จะไม่เพียงแก้ไข แต่จะมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานความโปร่งใสของประเทศให้สูงขึ้น เป็นรูปธรรม เราต้องมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพียงเพื่อทำให้อันดับดีขึ้นบนเวทีโลก แต่เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศไทยสามารถสร้างระบบรัฐที่โปร่งใสตรวจสอบได้ และยืนอยู่บนหลักธรรมาภิบาลโดยแท้จริง เพื่อให้ประเทศไทยพัฒนาก้าวหน้าในทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มีความเข้มแข็ง มีเสถียรภาพตามหลักนิติธรรม ด้วยระบบธรรมาภิบาลที่ดี มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้คนไทยและชาวต่างชาติ
“เพื่อให้เป้าหมายสำเร็จขอมอบนโยบายสำคัญที่ผมได้แจ้งแก่คณะรัฐมนตรีและส่วนราชการ คือต้องเสริมสร้างระบบป้องกันทุจริตให้รัดกุมทุกหน่วยงาน ต้องกำหนดมาตรการป้องกันการทุจริตในรูปแบบเชิงรุก โครงการที่ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากต้องผ่านการประเมินความเสี่ยง ต้องสร้างระบบตรวจสอบภายในที่เข้มข้น ไม่ใช่ทำตามรูปแบบ แต่ต้องเห็นผลจริง” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ได้ให้มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานบริการภาครัฐต้องมีการลดขั้นตอนของประชาชนที่ไม่จำเป็น เพิ่มระบบ One Stop service, E-Service เพื่อป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ ต้องสร้างความโปร่งใส ลดการใช้อำนาจดุลพินิจและลดปัจจัยที่เปิดช่องให้เกิดการแทรกแซงและต้องเปิดเผยข้อมูลภาครัฐให้ประชาชนได้เข้าถึงได้ง่ายตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดโปร่งใสและเสมอภาค ผู้ใดทุจริตต้องรับผิดผู้เอื้อประโยชน์ต้องถูกตรวจสอบและต้องรับผิด หากค้นพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการสนับสนุนให้เกิดการทุจริต ต้องไม่มีการละเว้น
“ไม่มีอภิสิทธิ์ ไม่ว่าตำแหน่งใดหรือฝ่ายใด ส่วนใครที่มีความซื่อสัตย์สุจริตรัฐบาลจะต้องให้การปกป้องคุ้มครองและให้การสนับสนุน มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างเต็มที่ จะต้องมีการเสริมสร้างวัฒนธรรมซื่อสัตย์สุจริตในสังคมไทย ปลูกฝังจิตสำนึกด้านจริยธรรมและความโปร่งใสตั้งแต่ในสถานศึกษาและหน่วยงานรัฐ ให้ทุกคนมีความซื่อสัตย์สุจริต ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ภาคประชาสังคมและสื่อมวลชน เฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริต รวมทั้งการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสอย่างจริงจัง เพื่อให้คนทำถูกมีความปลอดภัยมีที่ยืนที่มั่นคง” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีระบุว่า การป้องกันและปราบปรามการทุจริตต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย เชื่อมั่นว่าทั้งสำนักงาน ป.ป.ช. ฝ่ายความมั่นคง หน่วยงานภาครัฐ ภาคความมั่นคง ประชาสังคม ต้องมีการบูรณาการร่วมกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อป้องกันปราบปรามและลดความเสี่ยงของการทุจริต ตนได้ขอให้ทุกหน่วยงานตั้งเป้ายกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริตด้วยการจัดทำแผนบริการการจัดการที่ส่งผลต่อการเพิ่มคะแนน รัฐบาลจะติดตามประเมินผลเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เป้าหมายคือเพื่อประเทศไทยที่โปร่งใส น่าเชื่อถือ และมีอนาคตที่มั่นคงสำหรับลูกหลานของเรา วันนี้เป็นวันสำคัญที่ร่วมกันปลุกกระแสสังคมว่า เราไม่ทำ ไม่ทน และไม่สนการทุจริตอีกต่อไป
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้นำปฏิญาณตนว่าจะไม่ทุจริตคอร์รัปชัน และเข้าสู่พิธีการเปิดงาน


