วันนี้ (10 ธันวาคม) ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา ททบ.5 พล.ร.ต. สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงสรุปสถานการณ์ภาพรวมไทย-กัมพูชา ว่า ขณะนี้การปฏิบัติการเกิดขึ้นตลอดแนวชายแดนทั้ง 7 จังหวัด ในขณะที่ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้ปฏิบัติการเชิงรุกไปยังประชาคมโลก ชี้แจงจุดยืนและแนวปฏิบัติของทหารไทยต่อสื่อมวลชนต่างประเทศหลายสำนัก พร้อมออกประกาศแจ้งเตือนคนไทยในกัมพูชาหากไม่มีเหตุจำเป็นในการพำนักในกัมพูชาให้พิจารณาเดินทางออก และงดเว้นการเดินทางไปยังกัมพูชาจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ซึ่งในกรณีต้องการความช่วยเหลือหรือเหตุฉุกเฉิน สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ หรือ สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ
ขณะที่ นาวาเอก นรา คุณโฑถม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงปฏิบัติการตราดปรปักษ์ ซึ่งรับผิดชอบในพื้นที่บ้านชำราก อำเภอเมือง จังหวัดตราด ว่า เราพยายามทำลายอาวุธสนับสนุนของกัมพูชา เพื่อไม่ให้ต่อตีกำลังพลฝ่ายไทยที่จะเข้ายึดพื้นที่ได้ จากภาพจะเห็นหลุมปืนของฝ่ายกัมพูชาที่วางกำลังอยู่โดยรอบ และยิงสนับสนุนเข้าไปในพื้นที่บ้าน 3 หลัง ซึ่งขณะนี้ตัวบ้าน 3 หลัง ได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว 100%
แต่เนื่องจากยังมีกำลังพลกัมพูชาหลบอยู่ตามคูเลต ทำให้กำลังพลทหารราบนาวิกโยธินยังไม่สามารถเข้าไปยึดพื้นที่ได้ เพราะยังมีการต่อต้านจากปืนใหญ่ และปืน ค.ของฝ่ายข้าศึก ดังนั้น 2 วันนี้ (9-10 ธันวาคม 68) ฝ่ายไทยจึงต้องพยายามลิดรอนทำลายภัยคุกคามที่จะมีผลต่อฝ่ายไทย
ส่วนการโจมตีตึกที่มั่นทางทหาร (คาสิโน) ไม่ได้โจมตีเพื่อทำลายตัวอาคาร แต่โจมตีเพื่อทำลายที่มั่นทางทหารของกัมพูชา เพื่อลดขีดความสามารถในการเป็นภัยคุกคามกับฝ่ายไทย ยืนยันว่าไทยตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามอย่างมีสัดส่วน สมเหตุสมผล ไม่ได้ต้องการทำลายราบเป็นหน้ากลอง
ด้าน พล.ต.ต. ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า กัมพูชาได้ใช้ BM-21 และโดรนสังหาร โจมตีมาที่ฐานปฏิบัติการของตำรวจตระเวนชายแดน กองกำกับการที่ 22 ทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 8 นาย มีการส่งตัวไปที่โรงพยาบาลแล้ว ซึ่งยอดรวมของตำรวจตระเวนชายแดนที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดขณะนี้ 16 นาย โดย 12 นาย ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อีก 4 นาย แพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน ซึ่งตำรวจทั้ง 4 นาย ได้ร้องขอผู้บังคับบัญชากลับปฏิบัติหน้าที่ที่แนวหน้าร่วมกับเพื่อนตำรวจและเพื่อนทหาร ขอยืนยันว่าทางตำรวจยังมีขวัญและกำลังใจดีเยี่ยมในการรักษาอธิปไตยร่วมกับเหล่าทัพ
นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ยกระดับการคัดกรองบุคคล เข้าประเทศไทย ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ เพื่อป้องกันเหตุในการแฝงตัวทุกรูปแบบ และสั่งให้มีการตรวจสอบจุดที่มีการพักอาศัยของชาวต่างด้าว เพื่อป้องกันผู้ไม่หวังดีลอบมาก่อเหตุความไม่สงบ
ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ตามแผนพิทักษ์ส่วนหลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเข้มข้น ในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชน ตามหลักการพลเรือนต้องปลอดภัย ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของรัฐบาล เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังสั่งการให้โรงพยาบาลตำรวจและโรงพยาบาลในสังกัดเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ทางการแพทย์ รวมถึงเชิญชวนข้าราชการตำรวจ และประชาชน ร่วมกันบริจาคโลหิต เพื่อเป็นโลหิตสำรองสำหรับสถานการณ์ในครั้งนี้



