วันนี้ (28 กรกฎาคม) พล.ต. วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคง กับ กอ.รมน. กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพฤติกรรมของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ตั้งแต่มีการปะทะจนถึงปัจจุบันเป็นอย่างไร เพราะถือว่าเป็นทหารมาก่อน ว่า ฮุน มาเนต สวมหมวก 2 ใบ หนึ่งคือเป็นนายกรัฐมนตรี และเคยเป็นผู้บัญชาการทหารบกมาก่อน ส่วนตัวคิดว่า ในหมวกของความเป็นทหาร ท่านได้ทิ้งสิ่งนี้ไปแล้ว เหลือเพียงส่วนหมวกนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหมวกทางการเมือง ทำให้ไม่เห็นความสำคัญของการมีชีวิตอยู่ของผู้บริสุทธิ์
พล.ต. วันชนะระบุด้วยว่า อยากตั้งคำถามไปถึง ฮุน มาเนต ที่เป็นทหารด้วยกันว่า ได้ใช้อาวุธระยะไกลทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ชาวไทย พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปจากครอบครัวและเพื่อนของเขา ความมีมนุษยธรรมตรงนี้ของท่านหายไปไหน ขณะที่ท่านไปเรียนโรงเรียนเตรียมทหารในต่างประเทศ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เกิดมนุษยธรรมในจิตใจของท่านหรือไม่ จึงได้ทำปรากฏการณ์ที่โหดร้ายขนาดนี้
เมื่อถามว่า วันนี้มีการเจรจาหยุดยิง ในทางปฏิบัติจะสามารถหยุดได้ทันทีหรือต้องมีเงื่อนไขใด พล.ต. วันชนะระบุว่า ตนไม่สามารถคาดเดาผลของการปฏิบัติได้ เพราะเกินกว่าการตัดสินใจของกองทัพ เนื่องจากเป็นเรื่องของผู้นำประเทศ เป็นเรื่องระหว่างรัฐในการเจรจา ซึ่งผลจะออกมาเป็นอย่างไร ในส่วนของกองทัพพร้อมที่จะปฏิบัติการทุกอย่างตามที่รัฐสั่งการ แต่ในขณะนี้ทางกองทัพขอสงวนสิทธิ์ในการป้องกันตนเอง หากจริงใจต่อกันและหยุดยิงทั้งสองฝ่ายก็จบไป แต่หากปากบอกว่าหยุดยิง ในการปฏิบัติจริงยังคงมีการยิงอยู่ เราจะไม่โกงเหมือนกัน ยิงมาก็ยิงกลับ
ส่วนที่มีข่าวปลอมว่าไทยใช้อาวุธทางเคมีโจมตีกัมพูชานั้น พล.ต. วันชนะระบุว่า การแถลงข่าวอย่างเป็นทางการของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ที่ได้กล่าวข้อความเท็จเกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ออกสู่สาธารณะ และออกสู่ประชาคมโลกทำให้ความน่าเชื่อถือของท่านน้อยลง และสิ่งนี้จะย้อนกลับไปหาตัวท่าน ส่วนประชาชนขอให้เสพข่าวสารที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะจากสื่อมวลชนและจากหลายแหล่งข่าว ส่วนข่าวที่เป็นประโยชน์กับฝั่งกัมพูชาก็ขอให้ชั่งใจ
“ที่ผ่านมา เท็จหลายอย่างและเท็จแบบหน้าด้านๆ บอกว่าท่านแม่ทัพภาคที่ 2 เสียชีวิตไปแล้ว อันนี้เท็จจนกระทั่งท่านต้องออกมาส่งคลิปเอง หรือการใช้อาวุธชีวภาพ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น แม้กระทั่งการกล่าวหาไทยว่ารุกรานก็ไม่จริง ความจริงแล้วเป็นประเทศของท่าน เป็นผู้รุกรานประเทศของไทยก่อน” พล.ต. วันชนะกล่าว
พล.ต. วันชนะยังกล่าวถึงการรายงานข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศ ว่า สำนักข่าวต่างประเทศที่มีชื่อเสียงอยู่ในโลกนี้ ถ้าท่านอยากได้ข่าวอย่างชัดเจนและเป็นกลาง ให้ใช้แหล่งข่าวจากทั้งสองประเทศไปรายงานข้อมูล แต่ปัจจุบันพบว่ามีการใช้แหล่งข่าวแค่แหล่งเดียวจากประเทศเดียว ซึ่งไม่ยุติธรรมต่อประเทศไทย
ขณะเดียวกันในเรื่องของการสื่อสารไปยังต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศได้ทำหน้าที่ตรงนี้อยู่และทำได้ดี พร้อมขอให้ดูการตัดสินขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ตัดสินให้ ไทยและกัมพูชาไปหารือกันเอง จากกรณีที่กัมพูชายื่นหนังสือเร่งด่วน แสดงว่า UN มองเห็นแล้วว่า สิ่งที่กัมพูชายื่นไปไม่น่าเชื่อถือ แม้จะมีเหตุผลหลายข้อที่กัมพูชายื่นมาเพื่ออยากให้มีการไต่สวนทางลับ
“เขาไม่ฟัง UNเขาไม่ฟังคุณ แสดงว่าความจริงมันเริ่มปรากฏ รู้ไส้รู้พุงว่าเขมรมีนิสัยเป็นแบบไหน” พล.ต. วันชนะกล่าว
เมื่อถามว่า จากการประเมินสถานการณ์จะสามารถยุติเหตุปะทะบริเวณชายแดนได้เมื่อไหร่ พล.ต. วันชนะ ระบุว่า เป็นเรื่องในอนาคตที่ยังไม่สามารถตอบได้ แต่ขอให้ติดตามการปฏิบัติ ซึ่งสิ่งที่อยากจะฝากถึงพี่น้องประชาชนชาวไทย อยากให้เห็นว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไม่ใช่ความขัดแย้งในระดับประชาชน ความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างประชาชนชาวไทย และประชาชนชาวกัมพูชายังเหมือนเดิม ขอให้แยกแยะ และปฏิบัติตนกับชาวกัมพูชาในประเทศไทยอย่างฉันมิตร เพื่อให้ไม่ตกเป็นเครื่องมือปลุกปั่นของฝั่งกัมพูชา ทั้งนี้ในอนาคตเมื่อบริบทแวดล้อมเปลี่ยนไป การเจรจาตกลง อาจมีวิธีการพูดคุยและปฏิบัติต่อกันอย่างลงตัวมากกว่านี้