แนวโน้มดัชนีหุ้นไทย (SET) ช่วงนี้ เคลื่อนไหวพักตัวลง หลังขึ้นไปทำจุดสูงบริเวณ 1,640 จุด จากการเผชิญปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศ หลังนายกฯ สั่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทบทวนเพดานดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มธนาคารและกลุ่มการเงิน ส่วนปัจจัยต่างประเทศ มีความกังวลต่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยและปรับลด QE จึงทำให้เกิดแรงขายทำกำไรและมีการไหลออกของ Fund Flow
โดยล่าสุดจากถ้อยแถลง ของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯ ระบุว่า จะยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป โดยมองว่าเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเป็นผลมาจากการเปิดเศรษฐกิจ ทำให้ความกังวลเรื่อง Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดผ่อนคลายลงไปบ้าง
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงเรื่องการปรับลด QE ซึ่งแนะนำให้ติดตามการประชุมที่ Jackson Hole ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ หากมี Negative Surprise ในการส่งสัญญาณลด QE เร็วกว่าคาด จะเป็นปัจจัยลบต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นได้
ทั้งนี้ มองว่า SET ในช่วงนี้จะเคลื่อนไหวภายในกรอบ 1,580-1,640 จุด และตลาดยังมีความเสี่ยงด้าน Downside หลังภาพรวมตลาดการเงินโลกยังขาดปัจจัยหนุน และตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ อาจมี Negative Surprise รวมทั้งยังกังวลประเด็น Fed ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปรับลดทำ QE ส่วนในประเทศ แม้จะมีความหวังจากการเตรียมเปิดประเทศ แต่ยังต้องจับตาความเร็วในการกระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทำให้มองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังเป็นลักษณะเก็งกำไรในหุ้นรายตัว และอาจมี Rotation ไปสู่กลุ่มที่ปลอดภัยมากขึ้น ทำให้กลยุทธ์การลงทุนในตลาดช่วงไตรมาส 3/64 ของ บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) จะเน้นการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 นั่นคือ การเปลี่ยนกลุ่มเล่น และเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและ Valuation สมเหตุสมผล
ขณะที่มองว่าหุ้นวัฏจักรน่าจะสะท้อนการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแนะนำทยอยลดการเก็งกำไรในหุ้น Commodity หลังราคาสินค้าปรับลง เนื่องจากตลาดกังวลดอลลาร์แข็งค่า จีนมีแผนระบายสต๊อกโลหะภาคอุตสาหกรรม ผลผลิตทางการเกษตร (ข้าวโพด ถั่วเหลือง) มีแนวโน้มออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น และหันมาแนะนำหรือให้โฟกัสไปที่กลุ่มหุ้นเชิงรับที่มีปัจจัยพื้นฐานเฉพาะตัวเป็นแรงขับเคลื่อนกำไร มี Valuation ที่สมเหตุสมผล และพึ่งพาแรงส่งทางเศรษฐกิจมหภาคน้อยมากในการผลักดันให้มีผลตอบแทนสูงกว่าตลาด
โดยหุ้นแนะนำของ SCBS ในไตรมาส 3/64 ได้แก่
- CRC คาด SSS ตั้งแต่ไตรมาส 2 จนถึงปัจจุบัน เติบโต 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) จากฐานต่ำของปีก่อน และเติบโตเล็กน้อยในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคม 2564 จากฐานปกติ หลังสาขาต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดให้บริการ ซึ่งยืนยันการผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะได้อานิสงส์จากโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ โดยเฉพาะธุรกิจแฟชั่นและธุรกิจฮาร์ดไลน์ในประเทศไทย
- GPSC คาดกำไรไตรมาส 2/64 จะปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) จากการหยุดซ่อมบำรุงลดลง ต้นทุนก๊าซลดลง และการดำเนินงานเต็มไตรมาสของโรงไฟฟ้า GE เฟส 5 ขณะที่การระบาดของโควิด-19 รอบนี้กระทบต่ออุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรมน้อยกว่าปีก่อน
- PM คาดกำไรไตรมาส 2/64 ลดลง QoQ ตามฤดูกาล แต่เติบโต YoY จากการที่บริษัทและคู่ค้ามีแผนออกสินค้าใหม่สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการขยายตัวแทนและศูนย์การกระจายสินค้า พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางจำหน่ายออนไลน์
- RJH คาดกำไรไตรมาส 2/64 โตเด่น YoY จากรับรู้รายได้บริการตรวจโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น และมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง (Net Cash 66 ล้านบาท) อีกทั้งราคาหุ้นยัง Laggard โดยปัจจุบันซื้อขายด้วยอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (PER) ล่วงหน้าปี 2564 และ 2565 ที่ 22.7 เท่า และ 21 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 52.0 เท่า และ 35.4 เท่า ตามลำดับ
- SFT คาดกำไรไตรมาส 2/64-4/64 นิวไฮต่อเนื่อง หนุนจากอุปสงค์เติบโตในลูกค้าทุกกลุ่ม และกำลังการผลิตใหม่ที่เริ่มผลิตตั้งแต่เดือนมิถุนายน
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล