วันนี้ (18 สิงหาคม) ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ขยายตัว 2.8% YoY ‘ชะลอลง’ จากการขยายตัว 3.2% YoY ในไตรมาสแรกของปี 2568 และชะลอตัวเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน โดยการเติบโตของ GDP ไตรมาสล่าสุดนี้ ยังเป็นอัตรา ‘ต่ำสุด’ ในรอบ 3 ไตรมาส
โดยปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาสล่าสุดขยายตัวมาจากการส่งออกสินค้าที่ยังขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง (+14.3%) และการลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัว (+5.8%) อย่างไรก็ตาม การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล การลงทุนภาครัฐ และการส่งออกบริการยังขยายตัวชะลอลง
เมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ขยายตัวจากไตรมาสแรกของปี 2568 0.6% QoQ นับว่า ‘ชะลอตัวลง’ จาก 0.7% QoQ ในไตรมาสแรกที่แล้ว
เมื่อรวมครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.0% YoY ใกล้เคียงกับประมาณการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งอยู่ 2.9% YoY
เปิดตัวเลขการเติบโต GDP ไทยย้อนหลัง
- Q1/2567: 1.7% YoY 1.0% QoQ
- Q2/2567: 2.3% YoY 0.8% QoQ
- Q3/2567: 3.0% YoY 1.1% QoQ
- Q4/2567: 3.3% YoY 0.4% QoQ
- Q1/2568: 3.2% YoY 0.7% QoQ
- Q2/2568: 2.8% YoY 0.6% QoQ
‘ปรับขึ้น’ ประมาณการ GDP ทั้งปี 2568
สภาพัฒน์ ยังปรับขึ้นประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 เป็นมีแนวโน้มขยายตัวในช่วง 1.8 – 2.3% (ค่ากลาง 2.0%) จากประมาณการเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ 1.3 – 2.3% (ค่ากลาง 1.8%) แต่ยังถือว่า ชะลอตัวลงจากอัตราการเติบโตที่ 2.5% ในปี 2567
ดนุชายังระบุว่า สาเหตุที่ทำให้สภาพัฒน์ตัดสินใจปรับเพิ่มประมาณการ GDP ทั้งปีนี้มาจาก “สถานการณ์การส่งออก และการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น และความชัดเจนของนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) ที่มีความชัดเจนมากขึ้นมากกว่าในช่วงที่ผ่านมา”
เปิดปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยงในช่วงที่เหลือของปี 2568
ปัจจัยสนับสนุน
1. การเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนจากรายจ่ายภาครัฐโดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน: สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีและ งบประมาณรายจ่ายเหลื่อมปีประจำปีงบประมาณ 2568
2. การขยายตัวของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ: ตามแนวโน้มการขยายตัวของการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนและหมวดบริการ อัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ และการปรับตัวลดลงของอัตราดอกเบี้ย
3. การปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน: โดยเฉพาะในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรและหมวดยานพาหนะ สอดคล้องกับการเร่งขึ้นของปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน และสินค้าวัตถุดิบและขั้นกลาง รวมถึงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการขอรับการส่งเสริมการลงทุน และพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม
ข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยง
1. ผลกระทบจากการดำเนินมาตรการภาษีศุลกากรนำเข้าของสหรัฐฯ: ผ่านผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกสินค้าของไทย ผลกระทบจากการลดลงของความต้องการสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต และผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าที่เร่งตัวสูงขึ้น
2. ภาระหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงภายใต้มาตรฐานสินเชื่อที่มีความเข้มงวดต่อเนื่อง: สัดส่วนหนี้ครัวเรือนแม้จะลดลงแต่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่คุณภาพสินเชื่อครัวเรือนและสินเชื่อภาคธุรกิจ SMEs มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถาบันการเงินยังเข้มงวดในการให้สินเชื่อ
3. การชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว: ตามการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short-haul) อาทิ นักท่องเที่ยวจีน มาเลเซีย เวียดนาม ฮ่องกง และเกาหลีใต้
4. ความผันผวนของราคาและผลผลิตภาคเกษตร: ผลผลิตเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจะสร้างแรงกดดันให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลง ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับปัญหาอุทกภัยในช่วงปลายปี
5. ความผันผวนของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก: โดยมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ ความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ความยืดเยื้อของความขัดแย้งทาง ภูมิรัฐศาสตร์ และความเสี่ยงของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาและเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่
“ในช่วงที่เหลือของปี การลงทุนของภาคเอกชนจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสำคัญ นอกจากนี้ ยังควรเร่งรัดการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ส่งออกและนักลงทุนต่างประเทศ เพื่อประคองให้การส่งออกและการลงทุนยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันคงต้องมีการเร่งการทำการตลาดด้านการท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะตลาดระยะไกล อาจจะต้องมีการสร้างกิจกรรมใหม่ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น รวมทั้งดูแลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวไม่ให้เกิดปัญหาอย่างในช่วงที่ผ่านมา” ดนุชาทิ้งท้าย
ภาพ: Foto by M / Shutterstock