ปี 2025 ของเหล่าแข้งลูกหนังทีมชาติไทย เริ่มต้นด้วยความหวังครั้งใหม่ กับภารกิจล่าตั๋วเอเชียนคัพ 2027 หลังอกหักจากฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในปี 2024 ทำให้ทุกอย่างถูกวางให้เป็นปีแห่งการนับหนึ่งใหม่ เพื่อกลับมาเดินบนเส้นทางที่เราเคยทำได้ดีอีกครั้ง
ภายใต้การคุมทีมของ มาซาทาดะ อิชิอิ ผู้มาพร้อมแนวคิด “Japan Way” และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคนักเตะเลือดใหม่ ทีมไทยถูกคาดหวังว่าจะได้เห็นทิศทาง การพัฒนา และผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในสนามแข่งขันระดับทวีป
แต่เพียงไม่กี่เดือนก่อนสิ้นปี…ทุกอย่างกลับตาลปัตร ปีนี้จบลงด้วยความผิดหวังซ้ำอีกครั้ง ตั้งแต่การปลดกุนซือ อิชิอิ ที่สะเทือนทั้งวงการ ไปจนถึงผลงานซีเกมส์ในบ้านที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ส่งผลให้ทัพช้างศึกทั้งโต๊ะใหญ่-โต๊ะเล็ก ต้องปิดฉากปีแบบช้ำใจไปพร้อมกัน
การเปลี่ยนถ่ายสายเลือดใหม่ ความหวังที่ยังไปไม่ถึงฝัน
ปีนี้ อิชิอิ เดินหน้าปรับทีมด้วยแนวคิดเปลี่ยนผ่านสู่ยุคนักเตะใหม่ ผสมผสานแท็กติกสมัยใหม่กับประสบการณ์ของตัวเก๋า ทว่าฟอร์มโดยรวมยังขึ้นๆ ลงๆ พร้อมเสียงวิจารณ์เรื่องไลน์อัปในบางเกม โดยเฉพาะการพลาดทั้ง อาเซียนคัพ 2024 ช่วงต้นปี 2025 และการเสียแชมป์ คิงส์คัพ 2025 ในบ้านตัวเอง
สถิติรวมตลอดการทำทีม 30 นัด ชนะ 16 เสมอ 6 แพ้ 8 (ชนะ 53%) ถือว่าไม่แย่ในมุมตัวเลข แต่กลับไม่ตอบโจทย์เป้าหมายที่สมาคมฯ ตั้งไว้ ทั้งการทะลุรอบ 3 ฟุตบอลโลก, การกลับมาครองความเหนือชั้นในอาเซียน และการลุ้นตั๋วเอเชียนคัพ 2027 ที่ต้องเหนื่อยถึงเกมสุดท้าย
การปลดอิชิอิแบบฟ้าผ่า คือจุดแตกหักที่สะเทือนวงการ
ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาช็อกแฟนบอลมากที่สุดของปี เมื่อสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ประกาศยุติสัญญา มาซาทาดะ อิชิอิ แบบกะทันหัน อ้างเหตุผลด้านแนวทางการทำทีมที่ไม่สอดคล้องกับการประเมินของฝ่ายเทคนิค ทั้งที่เจ้าตัวคุมทีมมาตั้งแต่ธันวาคม 2023 พร้อมสถิติ ชนะ 16 จาก 30 นัด (ชนะ 53%)
หลังการปลด อิชิอิออกมาโพสต์ระบายว่ารู้สึกไม่ได้รับความเคารพ และถูกเรียกประชุมอย่างไม่จริงใจ จุดชนวนเสียงวิจารณ์อย่างหนักไปยัง มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ ในฐานะนายกสมาคมฯ โดยเฉพาะประโยค “ทีมชาติไม่ใช่ห้องทดลอง” ซึ่งกลายเป็นวลีที่ถูกตั้งคำถามถึงวิสัยทัศน์ระยะยาว และการเดินหมากเชิงนโยบายของสมาคมฯ
ขณะที่แฟนบอลจำนวนไม่น้อยมองว่านี่คือการตัดสินใจที่รวดเร็วเกินไป เพราะตัวเลขผลงานของอิชิอิถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี รั้งอัตราชนะอันดับ 2 ของทีมชาติในยุคหลังๆ พาทีมกลับเข้าสู่ ท็อป 100 ฟีฟ่าแรงกิ้ง อีกครั้ง และนัดล่าสุดก็เพิ่งบุกถล่มไชนีสไทเป 6-1 ทำให้ข้อสงสัยว่า “ทำไมต้องปลดตอนนี้?” ดังขึ้นไปอีก
ความล้มเหลวในซีเกมส์ 2025
เดือนธันวาคมคือจุดต่ำสุด เมื่อไทยเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ 2025 พร้อมตั้งเป้ากวาดทองจากฟุตบอล-ฟุตซอลชายหญิง แต่ผลลัพธ์กลับเป็นฝันร้ายในบ้านตัวเอง
- ฟุตบอลหญิง: แพ้ฟิลิปปินส์รอบรองฯ ได้แค่ทองแดง
- ฟุตซอลหญิง: เสียแชมป์ซีเกมส์ครั้งแรก ได้ทองแดง
- ฟุตบอลชาย: ถูกเวียดนามแซงชนะ 3-2 ช่วงต่อเวลา ได้เงินปลอบใจ
- ฟุตซอลชาย: แพ้อินโดฯ 1-6 จบด้วยเหรียญเงิน
และนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ไทยเจ้าภาพ แต่ไม่คว้าเหรียญทองฟุตบอลเลยสักรายการ ยิ่งตอกย้ำข้อกังขาเรื่องการบริหารทีมชาติในหลายระดับ
ภารกิจใหญ่ในปี 2026
อย่างไรก็ตาม แม้ในภาพรวมจะต้องปิดปี 2025 แบบเจ็บปวด แต่ทีมไทยยังได้ไปต่อในรอบคัดเลือกเอเชียนคัพ 2027 หลังชนะสิงคโปร์ 3-2 และถล่มศรีลังกา 4-0 ภายใต้การทำทีมโดย แอนโทนี ฮัดสัน ทำให้สถานการณ์คงหวังไว้เช่นเดิม
ตารางคะแนนปัจจุบัน
🇹🇭 ไทย : 12 คะแนน
🇹🇲 เติร์กเมนิสถาน : 12 คะแนน (เฮดทูเฮดดีกว่า / ไทยแพ้ 1-3 นัดแรก)
ดังนั้น เกมที่ต้องเจอเติร์กเมนิสถานในปี 2026 จะเป็นแมตช์ชี้เป็น-ชี้ตาย กับเงื่อนไขเดียว คือทีมไทยจำเป็นต้องชนะเพื่อแซงขึ้นจ่าฝูง และคว้าตั๋วไปเอเชียนคัพ 2027 ที่ซาอุฯ มิฉะนั้นไทยอาจพลาดรายการนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
ขณะที่ทีมชาติไทย U23 ต้องเก็บกระเป๋า สลัดความผิดหวังจากซีเกมส์ แล้วเดินหน้าต่อสู่ภารกิจใหม่ในศึกชิงแชมป์เอเชีย ช่วงต้นปี 2026 ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย
ท้ายที่สุด ปี 2025 อาจเป็นปีที่ทำให้แฟนบอลไทยต้องปวดใจไม่น้อยในแง่ผลลัพธ์ในสนามยังไม่ตอบโจทย์ ทิศทางของทีมชาติยังไม่ชัดเจน และความหวังหลายอย่างพังทลายลงตรงหน้า
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยพัง คือ ศรัทธาของแฟนบอลไทย ที่ยังคงหยัดยืนข้างฟุตบอลไทยอยู่เสมอ
แม้ในวันที่ทีมและสมาคมฯ ยังคงหาทิศทาง แต่แฟนบอลต้องการเพียงอย่างเดียว
คือการทำงานที่มีความตั้งใจจริง มุ่งมั่น และมีเป้าหมายที่จับต้องได้
และเราเชื่อว่าในปี 2026 เราหวังเหลือเกินว่านี้คือเวลาที่ฟุตบอลไทยจะต้องหันหัวเรือกลับสู่เส้นทางที่ถูกต้องอีกครั้ง เส้นทางที่ควรจะเป็นมานานแล้ว แม้ต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ อีกครั้งก็ตาม!


