เอกชนหวังทีมไทยแลนด์เดินหน้าเจรจาสหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้า 36% คู่ขนานปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เสริมแกร่งภาคส่งออก หวั่นเศรษฐกิจสูญ 9 แสนล้าน พร้อมลุ้นดีลใหม่หลังไทยยอมแลกลดภาษีให้ 0% พันกว่ารายการ
จากกรณีที่สหรัฐอเมริกาได้แจ้งอย่างเป็นทางการว่าจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตราสูงถึง 36% ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดที่สูงกว่าที่ภาคเอกชนประเมินไว้ และสูงกว่าหลายประเทศคู่แข่งในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม (20%) อินโดนีเซีย (32%) และมาเลเซีย (25%) ซึ่งสะท้อนว่าไทยกำลังเสียเปรียบในเชิงการแข่งขัน
วันนี้ (8 ก.ค.) เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในเบื้องต้น อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าหลัก ได้แก่
- อาหารแปรรูป
- สินค้าเกษตร
- ยานยนต์และชิ้นส่วน
- เครื่องใช้ไฟฟ้า
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- สิ่งทอ
- อัญมณี
- เหล็กและอะลูมิเนียม
ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าความเสียหายต่อการส่งออกไทยอาจอยู่ที่ประมาณ 8-9 แสนล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เปิด 5 ข้อเสนอที่ขุนคลังสหรัฐฯ เอ่ยปากชมไทย เผยเบื้องหลังกุนซือทีมไทยแลนด์ อัปเดตประเทศไหนเจรจาไปแล้วบ้าง?
- ไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? วิกฤตขีดความสามารถในการแข่งขัน เมื่อบุญเก่าหมด คนเก่งสมองไหล การเมืองไร้เสถียรภาพ
- ป่วนทั้งตลาด! เวียดนามแอบสวมสิทธิ์กดราคาส่งออกทุเรียนไทย อีกไม่นานเสี่ยงถูกเพื่อนบ้าน ‘ล้มแชมป์’ ปัญหาอยู่ที่ใคร?
“แม้ว่าข้อเสนอแรกของไทยจะถูกส่งไปเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมและมีการลงนามในเช้าวันที่ 7 กรกฎาคม ซึ่งอาจสวนทางกับประกาศของสหรัฐฯ ที่แจ้งมา ขณะนี้ ไทยได้ส่งข้อเสนอที่ 2 ไปแล้ว ซึ่งมีความแตกต่างจากข้อเสนอแรก โดยเฉพาะในเรื่องจำนวนรายการสินค้าที่จะลดภาษีให้เป็น 0% ซึ่งมีจำนวนหลายพันรายการ” เกรียงไกร กล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เราส่งข้อเสนอเพิ่มเติมไปนั้น ยังไม่มีการตอบกลับมา แต่เชื่อว่า หากสหรัฐฯ ได้พิจารณาอีกครั้งในข้อเสนอเพิ่มเติมใหม่นี้ น่าจะมีผลไปในทิศทางบวก
ทั้งนี้ เกรียงไกร ระบุอีกว่า สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนเช่นนี้ ส.อ.ท. จึงจะมีการประชุมเร่งด่วนภายในร่วมกับ 47 กลุ่มอุตสาหกรรม 11 คลัสเตอร์ก่อน เพื่อประเมินผลกระทบเป็นรายกลุ่ม และจัดทำมาตรการรองรับที่เหมาะสม หลังจากนั้น ในนามคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะรีบเร่งประชุมร่วมกับภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหามาตรการตั้งรับต่อไป
ภาพ: David Wall/Getty Images