ส่งออกไทยชะลอตัวในเดือนตุลาคม แต่ยังขยายตัว 16 เดือนติดต่อกัน โต 5.7% ชะลอจาก 19.0% ในเดือนก่อน ผลจากฐานการส่งออกที่สูงในช่วงก่อนหน้า และสนค. คาดว่าจะโตชะลอลงอีก ทั้งในปีนี้ และปีถัดไป
วันนี้ (25 พฤศจิกายน) นันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนตุลาคม 2568 มีมูลค่า 28,835.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว 910,316 ล้านบาท) ขยายตัว 5.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YoY) นับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 ติดต่อกัน แต่เป็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอลง จากระดับ 19 % ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา
การส่งออกไปยังตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป รวมถึงตลาดรอง เช่น เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา ยังคงขยายตัวได้ดี แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ
โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนการส่งออกให้ฟื้นตัว มาจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง รวมถึงสินค้ากลุ่มยานยนต์ และภาคการผลิตโลกที่อยู่ในภาวะขยายตัว จากผลผลิตและคำสั่งซื้อใหม่ อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยยังคงอยู่ในภาวะหดตัว
โดยการส่งออก 10 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่า 282,982.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว 9,307,535 ล้านบาท) ขยายตัวที่ 13.0% หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 13.8%
ส่วนการนำเข้าในเดือนตุลาคม 2568 มีมูลค่า 32,272.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว 1,032,034 ล้านบาท) ขยายตัว 16.3% ขณะที่การนำเข้าตลอด 10 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่า 286,848.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว 9,548,691 ล้านบาท) ขยายตัว 12.4%
ส่งผลให้ดุลการค้าไทย ในเดือนตุลาคม 2568 ขาดดุล 3,436.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือขาดดุล 121,718 ล้านบาท) ส่วนภาพรวมในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 ขาดดุล 3,866.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือขาดดุล 241,155 ล้านบาท)
ส่องตัวเลขส่งออก 10 เดือนแรกปีนี้
- ม.ค. 2568 +13.6%
- ก.พ. 2568 +14.0%
- มี.ค. 2568 +17.8%
- เม.ย. 2568 +10.2%
- พ.ค. 2568 +18.4%
- มิ.ย. 2568 +15.5%
- ก.ค. 2568 + 11.0%
- ส.ค. 2568 + 5.8%
- ก.ย. 2568 +19%
- ต.ค. 2568 +5.7%
แนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี
สนค.คาดว่า แนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2568 จะยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้จะเติบโตในอัตราที่ชะลอลง โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีความต้องการในระดับสูง รวมถึงสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารที่ยังคงมีความต้องการในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่อาจแข็งค่าขึ้นในช่วงปลายปี และปริมาณสินค้าเกษตรของไทยที่อาจลดลงจากปัญหาอุทกภัย ล้วนเป็นปัจจัยที่กระทรวงพาณิชย์ต้องติดตามต่อไป
ทั้งนี้ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มีนโยบายและแผนงานในการขยายการส่งออกของไทย อาทิ การรักษาตลาดเดิม บุกตลาดศักยภาพใหม่ เร่งเจรจาความตกลงเพื่อเปิดประตูการค้า ในขณะที่ต้องเร่งเจรจาข้อตกลง Reciprocal Tariff พร้อมยกระดับหุ้นส่วนเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ และหาข้อสรุปให้มีความชัดเจนโดยเร็ว เพื่อให้ผู้ส่งออกใช้ประโยชน์จากความตกลงให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีเพื่อให้ผู้ส่งออกได้รับทราบข้อมูลที่จำเป็นในการบริหารจัดการต่อไป
ฐานปีก่อนสูง การส่งออกชะลอลงได้อีกปีนี้
สำหรับการส่งออกที่ชะลอตัวลงในเดือนตุลาคม 2568 นันทพงษ์อธิบายว่า เป็นผลจากฐานการส่งออกที่สูงในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปตามวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และความต้องการจากสหรัฐที่ขยายตัวดีขึ้น โดยเชื่อว่าการส่งออกจะชะลอตัวลงในระยะถัดไปจากสต๊อกสินค้าที่ยังคงสูง
ส่วนการส่งออกช่วงปลายปี นันทพงษ์มองว่าจะมีการส่งออกที่ชะลอตัวลงเช่นกัน จากฐานการส่งออกที่สูงในปีก่อน โดยคาดว่า มูลค่าการส่งออก ตลอด 2 เดือนสุดท้ายของปี จะอยู่ที่ประมาณ 25,000 – 26,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทำให้ภาพรวมการส่งออกทั้งปีมีการขยายตัวอยู่ในกรอบ 10.7% ถึง 11.4% คิดเป็นมูลค่า 332982.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ถึง 334982.1 ล้านเหรียญสหรัฐ
นำเข้าโตพุ่ง 16.3% เสี่ยงสวมสิทธิ์หรือไม่
สำหรับการนำเข้า ซึ่งมีการเติบโตค่อนข้างสูงในระดับ 16.3% เมื่อเทียบกับการส่งออกที่ขยายตัว 5.7% และอาจบ่งถึงการหลั่งไหลเข้ามาของสินค้าสวมสิทธิ์หรือไม่
ทางด้านนันทพงษ์อธิบายว่า การนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น มาจากการนำเข้าวัตถุดิบกึ่งสำเร็จ เช่น แผงวงจรไฟฟ้า เหล็ก สินแร่ ซึ่งมีสัดส่วนการนำเข้า 42.8% และขยายตัวที่ 43.5% ซึ่งสอดคล้องกับมูลค่าการส่งออกของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้าทุน เช่น เครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องจักรอื่นๆ ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การนำเข้าในเดือนตุลาคมสูงขึ้นเช่นกัน
ส่งออกปีหน้า ชะลอตัวต่อ แต่ยังเป็นบวก
สำหรับการส่งออกในปี 2569 นันทพงษ์ระบุว่า มี 3 สัญญาณที่ทำให้คาดการณ์ได้ว่า การส่งออกจะชะลอตัวลงในปีต่อไป ประกอบด้วย 1) ฐานการส่งออกที่ค่อนข้างสูงในปีนี้ 2) มาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่จะเริ่มเห็นผลกระทบของการชะลอตัว แม้ไทยจะสามารถปรับตัวได้ดี 3) ความผันผวนของภูมิรัฐศาสตร์ที่กระทบให้อุปสงค์โลกลดลง
โดยการส่งออกที่ชะลอตัวลง นันทพงษ์มองว่าสอดคล้องกับ ประมาณการเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในปีถัดไป ตามการประเมินของ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว โดย GDP จะขยายตัว 3.2% ในปี 2568 และชะลอลงเหลือ 3.1% ในปี 2569 เช่นเดียวกับ องค์การการค้าโลก (WTO) ที่ประเมินชะลอเช่นกัน โดยประเมินว่า GDP จะขยายตัว 2.5% ในปีนี้ และโต 0.5% ในปีถัดไป
ส่วนจะชะลอตัวลงมากน้อยเพียงไร ทางนันทพงษ์ ระบุว่า สนค. จะประเมินตัวเลขอีกครั้งหนึ่ง โดยอิงจากข้อมูลที่มี ควบคู่หารือสถานการณ์กับผู้ส่งออก คาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนธันวาคม และน่าจะยังเป็นบวกได้
น้ำท่วมกระทบส่งออกไปมาเลเซีย
สำหรับสถานการณ์อุทกภัยทางภาคใต้ของประเทศไทย นันทพงษ์ระบุว่าจะทำการประเมินผลกระทบให้ชัดเจน และแถลงพร้อมดัชนีการผลิตและความเชื่อมั่นผู้บริโภคในวันที่ 3 ธันวาคม 2568 โดยนันทพงษ์เชื่อว่าจะกระทบการส่งออกไปยังมาเลเซีย ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักในภาคใต้ และเป็นตลาดการส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุดในอาเซียน
ผลบวกสินค้าเกษตร หากภาษีทรัมป์เป็นโมฆะ
หากศาลฎีกาสหรัฐฯ มีคำตัดสินว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้อำนาจเกินขอบเขตตามกฎหมาย IEEPA ปี 1977 ในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ต่อประเทศคู่ค้า นันทพงษ์มองว่าจะเป็นผลดีต่อสินค้ามาร์จิ้นต่ำ เช่น สินค้าเกษตร
ทั้งนี้ ผลคำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยมากน้อยเพียงไรนั้น นันทพงษ์ระบุว่า ต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย


