ลองหลับตานึกภาพถนนในเมืองไทยอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เสียงเครื่องยนต์เบนซินที่เคยคุ้นอาจค่อยๆ จางหาย กลายเป็นเสียงเงียบของมอเตอร์ไฟฟ้า รถยนต์ไม่มีท่อไอเสีย ไม่มีควันดำ ไม่มีเสียงดังรบกวน สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นจริงแล้วในประเทศไทย
และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ “สังคมยานยนต์ไฟฟ้า” ก็ไม่ได้เป็นเพียงภาพในจินตนาการ หากแต่กำลังเกิดขึ้นจริงด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง ตัวเลขการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยคือหลักฐานสำคัญที่ชี้ชัดว่า รถไฟฟ้าไม่ใช่แค่ ‘อนาคตที่ใกล้เข้ามา’ แต่คือ ‘ปัจจุบันที่มาไกลเกินคาด’
ยานยนต์ไฟฟ้าไทยทะลุ 280,000 คันในปี 2568
แค่ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ประเทศไทยมีการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้ารวมแล้วกว่า 53,000 คัน ในจำนวนนี้เป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 43,000 คัน ขณะที่ยอดจดทะเบียนตลอดทั้งปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 96,000 คัน แปลว่าเราใช้เวลาเพียงครึ่งปี ก็สามารถไล่ทันยอดทั้งปีของปีก่อนได้แบบไม่เห็นฝุ่น
หากรวมยอดสะสมตั้งแต่มีรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาในประเทศจนถึงพฤษภาคม 2568 ข้อมูลจากสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ระบุว่ามีจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าในระบบกว่า 280,000 คัน เป็นรถยนต์ไฟฟ้าราว 200,000 คัน และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอีกประมาณ 80,000 คัน แต่กระนั้น สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าจำนวน คือ ‘ความเร็ว’ ที่มันเปลี่ยน
EV ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนรถ แต่คือการเปลี่ยนระบบ
หลายคนเข้าใจว่า EV คือการเปลี่ยนจากน้ำมันมาใช้ไฟฟ้า แต่ในความเป็นจริง มันลึกกว่านั้นมาก เพราะการเติบโตของ EV สะท้อนการเปลี่ยนผ่านทั้งระบบเศรษฐกิจ พลังงาน และพฤติกรรมของคนไทย
การใช้รถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้แค่ลดค่าน้ำมัน แต่คือการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในระดับโครงสร้าง และช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคขนส่ง ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนรายใหญ่ของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
มากกว่านั้น EV ยังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย จากเดิมที่เรานำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าทั้งคัน ปัจจุบันหลายแบรนด์ใหญ่เริ่มย้ายฐานการผลิตมาตั้งในประเทศไทย ทำให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และการพัฒนาอุตสาหกรรม Local Content เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ข้อมูลจาก EVAT ชี้ชัดว่าไทยมีอัตราการเติบโตของ EV สูงที่สุดในอาเซียน และกำลังเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลกให้เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศ
4D + 1E พิมพ์เขียวพลังงานใหม่ของไทย
เบื้องหลังการเปลี่ยนผ่านที่ดูเป็นธรรมชาติ มีพิมพ์เขียวที่ชัดเจนของภาครัฐอยู่เบื้องหลัง นั่นคือ นโยบาย 4D + 1E ของกระทรวงพลังงาน ที่วางแนวทางให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานแห่งอนาคต
- Digitalization ใช้เทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- Decarbonization ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทุกภาคส่วน
- Decentralization กระจายการผลิตพลังงานให้หลากหลายและเข้าถึงได้
- De-regulation ปรับกฎเกณฑ์ให้เอื้อต่อเทคโนโลยีใหม่
และที่สำคัญที่สุดในบริบทนี้คือ “Electrification” การเปลี่ยนพลังงานทุกระบบสู่ไฟฟ้าที่สะอาด ยืดหยุ่น และควบคุมได้
ภายใต้แนวทางนี้ ประเทศไทยตั้งเป้าหมาย “30@30” หมายถึงการที่ไทยจะต้องมีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศอย่างน้อย 30% ของยอดการผลิตรถทั้งหมด ภายในปี 2030 หรืออีกไม่ถึง 5 ปีนับจากนี้
กกพ. กับการเปลี่ยนผ่านสู่ EV Charging Infrastructure
การเปลี่ยนผ่านพลังงานจะไม่เกิดขึ้นได้เลย ถ้าไม่มีคนดูแล ‘โครงสร้าง’ ให้มั่นคงและปลอดภัย และนี่คือจุดที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. เข้ามามีบทบาทสำคัญ
หลายคนอาจคุ้นชื่อ กกพ. ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องค่าไฟ แต่ในความเป็นจริง กกพ. คือผู้ออกแบบระบบไฟฟ้าสำหรับอนาคต เป็นผู้ที่วางโครงสร้างให้ระบบพลังงานของไทยเดินหน้าอย่างไม่สะดุด โดยเฉพาะในระบบ EV Charging Infrastructure ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. อธิบายว่าปัจจุบัน กกพ. มีหน้าที่หลัก 3 ด้านที่เกี่ยวข้องกับ EV Charging
- การอนุญาตให้เปิดสถานีชาร์จ
- หากสถานีมีกำลังเกิน 1,000 กิโลวัตต์ ต้องผ่านการตรวจสอบ ใช้เวลา 75 วัน
- ถ้าขนาดต่ำกว่า สามารถใช้ระบบ e-Licensing ใช้เวลาเพียง 15 วัน
- การกำกับอัตราค่าบริการที่เหมาะสม
- ปัจจุบันมีการกำหนดอัตรา “Low Priority Rate” ไว้ที่ประมาณ 2.90 บาทต่อหน่วย
- เป็นราคาที่สมดุลระหว่างความคุ้มค่าสำหรับผู้ใช้ และแรงจูงใจสำหรับผู้ลงทุน
- การกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยของสถานีชาร์จ
- กกพ. ทำงานร่วมกับ กฟภ. กฟน. และกรมธุรกิจพลังงาน
- เพื่อให้สถานีชาร์จมีความปลอดภัยเทียบเท่าปั๊มน้ำมัน
“กกพ. ไม่ได้เป็นแค่ผู้กำกับราคาพลังงาน แต่เป็นผู้ออกแบบความเชื่อมั่นในระบบใหม่ของประเทศไทย” ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์
ในวันนี้ สถานีชาร์จ EV มีมากเท่าไร?
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ประเทศไทยมีผู้ให้บริการสถานีชาร์จ EV ถึง 20 แบรนด์
รวมสถานีทั้งหมด 3,720 แห่ง และมีจำนวนหัวชาร์จรวมทั้งสิ้น 11,622 หัว แบ่งเป็น
- DC CCS2: 6,103 หัว
- DC CHAdeMO: 421 หัว
- AC Type 2: 5,098 หัว
ตัวเลขนี้สะท้อนว่าโครงสร้างพื้นฐานของสถานีชาร์จในไทย กำลังเติบโตตามจำนวนรถ EV ได้อย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่เพียง “เติบโตเชิงปริมาณ” แต่ยัง “มีมาตรฐานและระบบรองรับ” ที่ชัดเจน ด้วยการกำกับของ กกพ.
เลือกใช้ EV ต้องสำรวจความต้องการตัวเอง
แม้การเติบโตของ EV จะเป็นภาพใหญ่ที่น่าตื่นเต้น แต่ รศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล อดีตนายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย แนะนำว่า EV อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน
เขาแนะนำว่า คนที่จะใช้ EV ควรถามตัวเองก่อนว่า ใช้รถอย่างไร เดินทางวันละกี่กิโล หากการใช้งานอยู่ในเมือง วิ่งวันละ 50-100 กิโลเมตร มีจุดชาร์จใกล้บ้านหรือที่ทำงาน EV คือทางเลือกที่ดี
แต่หากต้องเดินทางไกลบ่อยครั้ง หรืออยู่ในพื้นที่ที่สถานีชาร์จยังไม่ครอบคลุม อาจต้องวางแผนมากกว่าปกติ รวมถึงต้องเลือกแบรนด์ที่มีความมั่นคง ไม่ใช่เพียงราคาถูก
กกพ. ผู้สร้างความเชื่อมั่นให้อนาคตของ EV
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้รถ EV หรือสถานีชาร์จ คือ ‘ระบบ’ ที่อยู่เบื้องหลัง ระบบที่ไม่ใช่แค่สายส่งไฟฟ้า หรือซอฟต์แวร์ในตู้ชาร์จ แต่คือโครงสร้างนโยบาย มาตรฐาน กฎเกณฑ์ และความเชื่อมั่น ที่ทำให้รถไฟฟ้าทุกคันสามารถวิ่งได้จริงบนท้องถนน
และในระบบนั้นเอง กกพ. คือหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นกลไกกลาง เชื่อมโยงระหว่าง เทคโนโลยี ที่เปลี่ยนเร็ว, นโยบายพลังงาน ที่ต้องชัด และ ความไว้วางใจจากประชาชน ที่ไม่สามารถสร้างได้ด้วยการประกาศเพียงครั้งเดียว
กกพ. คือผู้วางกรอบกำกับกิจการพลังงานในยุคใหม่ ให้การเปลี่ยนผ่านสู่ EV เป็นไปอย่างมีระบบ มีมาตรฐาน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป นักลงทุน หรือผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการเข้าสู่ระบบสถานีชาร์จ
ถ้า EV คือยานพาหนะสู่อนาคต กกพ. ก็คือผู้ออกแบบถนนที่ทำให้การเดินทางนั้น ปลอดภัย มั่นคง และไปถึงจุดหมายได้จริง
และเมื่อถนนนั้นเชื่อมต่อกันได้ทั่วประเทศ อนาคตพลังงานสะอาดของไทย ก็จะไม่ใช่แค่เป้าหมาย แต่คือเส้นทางที่เริ่มต้นขึ้นแล้วจริงๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- “น้ำขี้เถ้า” นวัตกรรมดักจับคาร์บอนและโอกาสของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ในวันที่โลกมุ่ง Net Zero
- ทำไม “ไฮโดรเจน” คืออนาคตพลังงานไทยที่จะมุ่งสู่ Net Zero ในปี 2065?