ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ลงจากเมื่อต้นปีที่เคยคาดว่า GDP ไทยปีนี้จะโตได้ราว 3% มาอยู่ที่ 2% ท่ามกลางความเสี่ยงขาลงต่างๆ (Downside) เหตุภาคส่งออก ท่องเที่ยว และความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจทำให้แรงส่งจากนโยบายภาครัฐลดลง โดยในกรณีเลวร้ายกว่า (Worse Case) GDP ไทยอาจโตเพียง 1.5% เท่านั้น
“ส่งออกก็ไม่ค่อยดีอย่างที่คิดไว้ ขณะเดียวกันท่องเที่ยวก็มีแรงต้านเยอะ นอกจากนี้ ต้องพูดความจริงว่า ปัญหาการเมืองอาจจะทำให้ความกระฉับกระเฉงในการขับเคลื่อนนโยบายลดลงไป จากแต่ก่อน วันที่การเมืองนิ่งจะคิดนโยบายอะไรก็ได้ แต่พอการเมืองไม่นิ่ง ทุกคนก็มองซ้ายมองขวา ข้าราชการเองก็รับลูกน้อยลงทำให้การขับเคลื่อนนโยบายไม่ได้ง่ายอย่างที่เคยเป็น ทำให้แรงส่งจากนโยบายภาครัฐอาจจะไม่มีประสิทธิภาพ (Effective) อย่างที่เราคิดไว้” ดร.กอบศักดิ์ กล่าว
พร้อมระบุอีกว่า “จากประสบการณ์ การเมืองไปได้หลายทางก็รอดูก่อน ขณะนี้เราไม่รู้หรอกว่า การเมืองจะเป็นอย่างไร แล้วถ้าเกิดเราจะประมาณการเศรษฐกิจบนพื้นฐานว่า เรามองว่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ก็แสดงว่า เราแทงหวยแล้วว่า การเมืองจะจบยังไง ผมจึงคิดว่า มันเร็วเกินไปที่จะฟันธง”
โดย ดร.กอบศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาคส่งออก แม้ต้นปีจะดูดี แต่มีความไม่แน่นอนสูงในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการหลั่งไหลเข้ามาของสินค้าจีนก็เป็นความท้าทาย
“ภาคส่งออกช่วงต้นปีมีการเร่งซื้อ เพราะว่า กลัวว่าปลายปี ไม่รู้ว่า ภาษีจะอยู่เท่าไหร่ อเมริกาตอนปกติอาจจะสต๊อกสัก 3 เดือน แต่ตอนนี้อาจจะสต๊อกถึงคริสต์มาสไปแล้วด้วยก็ได้ เพราะฉะนั้น ครึ่งหลังของปีก็อาจจะไม่ซื้อ (สินค้าไทย) เหมือนเดิม หมายความว่า ครึ่งหลังของปีนี้ แรงส่งมาจากส่งออกก็จะหายไป”
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวแย่กว่าที่คิดไว้อย่างมาก ท่ามกลางภาวะที่การบริโภคและการลงทุนภายในประเทศไทยชะลอตัว เห็นได้จากยอดขายร้านสะดวกซื้อ ยอดรูดบัตรเครดิต ภาวะที่ร้านอาหารปิดตัวลง และโรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมขาลง (Sunset) มีอัตราปิดกิจการสูง
“ตัวท่องเที่ยว เรามีสมมติฐานว่า นักท่องเที่ยวจะลืม (ข่าวลบ) ภายใน 4 เดือน ปกติทุกครั้งเมื่อเกิดสึนามิ ไข้หวัดนก เผาเมือง ประท้วง ปฏิวัติต่างๆ ภายใน 4 เดือน เขาจะกลับมาใหม่เหมือนกับไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ว่าครั้งนี้ 5 เดือนแล้ว บังเอิญมีหลายเรื่อง ตั้งแต่กรณีลักพาตัวดาราจีน (ซิงซิง) แล้วแผ่นดินไหวอีก”
ประเมินแนวโน้มนโยบายภาษีสหรัฐฯ
ดร.กอบศักดิ์ ประเมินว่า ภายใน 1 เดือน สหรัฐฯ น่าจะประกาศตัวเลขอัตราภาษีศุลกากรสำหรับแต่ละประเทศรวมถึงไทยออกมาก เนื่องจากหลายประเทศไม่น่าจะเจรจาได้ทัน โดยสิ่งสำคัญสำหรับอัตราภาษีาสำหรับไทยคือ ต้องรอดูว่าจะได้อัตราสูงหรือต่ำกว่าคู่แข่ง
“ผมคิดว่าภายใน 1 เดือน (สหรัฐฯ) จะเฉลยแล้ว เพราะเขารู้แล้วว่าเขาเจรจาไม่ทัน พอเจรจาไม่ทัน เขาก็จะแจกตัวเลข แล้วไทยก็จะรู้ว่าเราอยู่ระดับไหน แล้วหลังจากเราก็จะประมาณการได้ถูกว่าปลายปีส่งออกจะดีหรือไม่ดี ถ้าเราได้ต่ำพอสมควร หรือต่ำกว่าเพื่อนคู่แข่ง เราก็จะไปได้”
“ถ้าเกิดสหรัฐฯ กำหนดภาษีไทย 15-20% ถือว่าใช้ได้ ส่วน 0% ไม่เป็นไปไม่ได้รอบนี้ 10% ถือว่าหรูที่สุดแล้ว แล้วถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่า สินค้าไทยก็จะได้เปรียบสินค้าจีนปลายปีก็อาจจะดีก็ได้” ดร.กอบศักดิ์ ระบุ
เปิดข้อเสนอและแนวทางสำหรับเศรษฐกิจไทย
ในสถานการณ์ที่ผันผวน ทั้งจากสถานการณ์โลกและการเมืองภายในประเทศ ดร.กอบศักดิ์ แนะว่า สำหรับภาคการท่องเที่ยวควรให้ ททท. ทำโปรโมชั่นที่ดีขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เพราะมีศักยภาพในการเติบโตสูง
ส่วนภาคการส่งออก รัฐบาลควรเร่งเจรจาทางการค้าเพื่อหาตลาดใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ตลาดอเมริกาเพียงอย่างเดียว และควรพยายามเจรจาเพื่อได้ข้อตกลงที่ดีกว่าคู่แข่ง
“ส่งออกควรไปหาประเทศทางเลือก (Alternative) เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์จะอยู่ไปอีก 3 ปีครึ่ง แม้วันนี้อาจจะนิ่งๆ ใจดี แต่เดี๋ยววันรุ่งขึ้นอาจจะใจไม่ดีอีกก็ได้ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ควรเอาชีวิตไปผูก”
นอกจากนี้ ในด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ควรเร่งรัดการอนุมัติและให้ Incentive เพื่อดึงดูดการลงทุนให้เกิดขึ้นจริงโดยเร็วที่สุด อาเซียนกำลังเป็นที่สนใจมากขึ้นเมื่อประเทศอื่นๆ มีความขัดแย้ง
รวมทั้งควรพิจารณาดึงดูดชาวต่างชาติให้มาลงทุนและตั้งฐานการดำเนินงานในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะ Start Up จากอินโดนีเซีย หรือผู้ที่ต้องการย้ายฐานจากตะวันออกกลางและยุโรป เนื่องจากไทยเป็นเป้าหมายที่ดี